วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แผ่นแปะ แก้สมองเสื่อม




เมื่อป่วยไข้ด้วยโรคใด ๆ ก็ตามแต่ สิ่งจำเป็นคือการรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดจึงจะหาย

เช่นเดียวกับ 'โรคสมองเสื่อม' ที่ผู้ป่วยต้องได้รับยาอย่างต่อเนื่อง แต่เพราะตัวผู้ป่วยเองที่มักมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับยาง่าย ๆ ขณะที่บางรายเป็นคนรับประทานยายากอยู่แล้วเป็นทุน บ้างก็กลัวผลข้างเคียง อย่าง คลื่นไส้ อาเจียน จึงหลบเลี่ยงการรับประทานยาเสียดื้อ ๆ

ด้วยเหตุผลข้างต้น นวัตกรรมทางการแพทย์จึงพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาผู้ป่วยไม่ยอมรับยา ด้วยการทำ 'แผ่นแปะ' รักษาโรคสมองเสื่อมขึ้นมา ซึ่งเดลินิวส์ออนไลน์ได้ข้อมูลดี ๆ มาจากเอกสารแผ่นแปะสำหรับโรคสมองเสื่อม ของบริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด นั่นเอง

สำหรับแผ่นแปะดังกล่าวมีลักษณะเป็นแผ่นซิลิโคน มีตัวยารักษาโรคสมองเสื่อมซึ่งจะซึมผ่านผิวหนังลงไปสู่กระแสเลือด การใช้งานไม่ยาก เพียงตัวผู้ป่วยหรือผู้ดูแลแปะไปที่ผิวหนังบริเวณหลัง หน้าอก หรือแขนส่วนบนก็ใช้ได้ตลอดทั้งวัน แม้ใจตอนอาบน้ำ ถูสบู่ แผ่นแปะก็ไม่หลุดลอกออกไปง่าย ๆ

ที่สำคัญ การใช้แผ่นแปะยังไม่มีผลข้างเคียงเหมือนกับการรับประทานยา เนื่องจากตัวยาจะออกฤทธิ์อย่างคงที่เพราะมีสารควบคุมการปลดปล่อยตัวยา โดยนวัตกรรมดังที่กล่าวมานี้ผ่านการอนุมัติจากองค์กรอาหารและยาแล้ว.

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/28415.html

การแข่งขันเกมชีวิต











http://variety.teenee.com/foodforbrain/29019.html

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รู้ทันแก๊งคอลเซ็นเตอร์



รู้ทันภัย 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์'

ปลอมเบอร์โทรหลอกโอนเงิน!

"แก๊งคอลเซ็นเตอร์”
กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในปัจจุบัน โดยหลายรายที่ ตกเป็นเหยื่อต่างสูญเงินไปกับกลโกงมากมายมหาศาล แต่เมื่อภาครัฐเร่งจับและให้ความรู้กับประชาชน
กลุ่มมิจฉาชีพกลับใช้อุบายในการปลอมเบอร์ของทางราชการหรือธนาคารเพื่อหลอกประชาชนให้หลงเชื่อ!!

การหลอกเหยื่อโดยใช้การโทรฯผ่าน เครือข่าย “วีโอไอพี” โดยการปลอมเลขหมายหน่วยงานราชการและธนาคารเริ่มมีความแพร่หลายอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นประชาชนควรมีความรู้เพื่อป้องกันตนเองจากกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้

ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม กล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มมีมานานแล้ว แต่มีการพัฒนารูปแบบการหลอกใหม่ ๆ ขึ้น ล่าสุดได้มีการนำระบบ “วีโอไอพี” ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มาดัดแปลง ด้วยการป้อนข้อมูลเบอร์โทรฯของหน่วยงานราชการและธนาคาร เพื่อให้เลขหมายดังกล่าวไปปรากฏขึ้นบนจอมือถือของผู้รับ เพื่อให้ผู้รับไม่ได้ระวังตัวเนื่องจากเป็นเลขหมายของสถานที่ราชการ ในอีกกรณีหนึ่ง มิจฉาชีพจะโทรฯมาโดยไม่แสดงเลขหมายบนมือถือผู้รับ หรือเบอร์เลขหมายที่มีมากกว่าปกติเหมือนกับเบอร์โทรฯต่างประเทศโทรฯเข้ามา เพื่อไม่ให้เหยื่อโทรฯติดต่อได้ง่าย

“ระบบวีโอไอพี”
พัฒนาขึ้นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อการสื่อสารที่ มีราคาถูกลง โดยต้นสายสามารถคุยผ่านไมโครโฟนที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ไปยังปลายสายที่เป็นคอมพิวเตอร์ด้วยกันหรือโทรศัพท์ปลายทาง โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการโทรฯจากต่างประเทศมาไทย เมื่อโทรฯมาจะมีผู้ให้ ใช้บริการในไทยเชื่อมต่อสัญญาณไปยังมือถือปลายสาย

การใช้วีโอไอพีเพื่อหลอกลวงส่วนใหญ่ บรรดาแก๊งมิจฉาชีพจะใช้วิธีตั้งออฟฟิศขึ้นในต่างประเทศเพื่อที่จะโทรฯมาหลอกคนไทย ขณะเดียวกันคนต่างชาติก็มาตั้งออฟฟิศเพื่อโทรฯหลอกคนประเทศตนเองในไทย แก๊งเหล่านี้น่าจะเป็นเครือข่ายเดียวกัน ด้วยพฤติกรรมการหลอกและการทำงานมีความใกล้เคียงกัน

ดังนั้น ประชาชนทั่วไปไม่ควรโทรศัพท์ขณะกดเอทีเอ็ม เนื่องจากมิจฉาชีพจะหลอกเพื่อให้ไปกดเอทีเอ็มแล้วพูดให้เหยื่องง จนหลงเชื่อกดโอนเงินไปยังบัญชีคนร้าย หรือในบางกรณีคนร้ายเร่งเพื่อให้เหยื่อกดตามคำสั่งจนไม่ได้อ่านตัวอักษรบนตู้ เอทีเอ็ม ไม่ว่าหน่วยงานใดก็ตามไม่มีนโยบายให้โทรศัพท์ไปด้วยกดเอทีเอ็มไปด้วย หากประชาชนเจอสถานการณ์ในกรณีดังกล่าวให้สังหรณ์ใจไว้ว่ากำลังถูกหลอก บางประเทศมีนโยบายไม่ให้โทรศัพท์ขณะกดเอทีเอ็มเพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยเมื่อเข้าใกล้ตู้เอทีเอ็มจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์

ในบางกรณีเหยื่อก็หลงเชื่อมิจฉาชีพที่โทรฯมาโดย ใช้เบอร์หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พอเหยื่อโทรฯกลับไปสอบถามก็พบว่า มีคนดังกล่าวอยู่ในหน่วยงาน แต่ไม่ได้คุยสาย พอหลังจากนั้นมิจฉาชีพจะโทรฯมาอีกครั้งแล้วให้เหยื่อโอนเงิน

หากหลงเชื่อโอนเงินไปแล้ว ควรเก็บสลิปที่ออกมา จากตู้เอทีเอ็มและโทรฯไปยังธนาคารเพื่อระงับการทำธุรกรรมภายใน 2-3 นาที หลังจากโอนเงิน ในอนาคตตำรวจและธนาคารควรมีเบอร์โทรฯกลางเพื่อแจ้งในการระงับการทำธุรกรรมและสืบหาตัวผู้กระทำผิดได้อย่างทันท่วงที

กลวิธีที่มิจฉาชีพนิยมนำมาหลอกเหยื่อคือ

1.โทรฯสุ่มโดยไม่เลือก โดยใช้คอลเซ็นเตอร์ ที่อัดเทปเกลี้ยกล่อม ให้เหยื่อกดต่อไปยังพนักงานแล้วทำการหลอกให้โอนเงิน

2.มิจฉาชีพจะทำการโทรฯมาก่อนเพื่อหลอกให้ตอบคำถาม เช่น เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน ชื่อ-นามสกุล และเลขที่บัญชีธนาคาร หลังจากนั้นจะมีอีกสายโทรฯมาบอกว่า โทรฯมาจากหน่วยงานต่าง ๆ และสามารถบอกเลขที่บัญชีธนาคารและชื่อจริงตามที่มิจฉาชีพรายแรกได้โทรฯมาสอบถามก่อนแล้วซึ่งพอเหยื่อได้รับสายที่สองจะหลงเชื่อเพราะรู้ข้อมูลส่วนตัว แต่แท้ที่จริงทั้งสองสายเป็นแก๊งมิจฉาชีพ!

“สิ่งที่ต้องเร่งทำตอนนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความรู้กับประชาชน และเตรียมเชิญผู้ให้บริการวีโอ ไอพีในไทยวางระบบเพื่อป้องกันการปลอมเบอร์โทรฯ โดยผู้ที่กระทำผิดมีโทษทางกฎหมายเกี่ยวกับการฉ้อโกง ซึ่งหากท่านตกเป็นเหยื่อควรแจ้งตำรวจเพื่อเร่งดำเนินคดี หรือโทรฯมาที่สายด่วน 1200 หรือสายด่วน 1155 และสายด่วน 1135 โดยจะมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง”

ดร.โกเมน พิบูลย์โรจน์ ผู้อำนวยการโปรแกรมเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ให้ความเห็นตรงกันว่า เวลาโทรศัพท์ไม่ควรกดเอทีเอ็มเพราะไม่มีหน่วยงานใดให้โทรศัพท์ไปด้วยกดเอทีเอ็ม ไปด้วย

ดังนั้นในเบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรออกหนังสือเตือนให้ประชาชนและคนในหน่วยงานทราบ เนื่องจากถ้าตกเป็นเหยื่อไปแล้วย่อมสร้างความเสียหายต่อตนเอง การป้องกันด้วยการสร้างโปรแกรมป้องกันเบื้องต้นอาจต้องใช้เวลาและ ผู้ให้บริการต้องทำความเข้าใจกับผู้ใช้อย่างถี่ถ้วน

“วีโอไอพีเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ค่าใช้จ่ายต่ำ ซึ่งถ้าต้องการควบคุมพฤติกรรมของกลุ่มมิจฉาชีพไม่ควรสร้างผลกระทบต่อผู้ใช้บริการที่มีความจำเป็น จริง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมานั่งคุยกันเพื่อพัฒนาระบบไม่ให้มีการ ปลอมแปลงเบอร์”

อนาคตน่าจะมีการหลอกลวงโดยใช้ชื่อคนที่มี ชื่อเสียงมากขึ้น ซึ่งหากใครได้รับโทรศัพท์ที่อ้างว่า มาจากหน่วยงานและผู้ที่มีชื่อเสียงให้โอนเงินไม่ควรหลงเชื่อ!

ขึ้นชื่อว่า “เทคโนโลยี” นอกจากจะมีคุณประโยชน์แล้วยังมีโทษ ดังนั้นประชาชนควรระแวดระวังเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อรายต่อไปของกลุ่มมิจฉาชีพ.

วีโอไอพี คืออะไร?


วีโอไอพี (VoIP) ย่อมาจาก วอยส์โอเวอร์ไอพี (Voice over Internet Protocol) เป็นการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต หรือโครงข่ายอื่น ๆ ที่ใช้อินเทอร์เน็ตโพรโทคอล สัญญาณเสียงจะถูกตัดแบ่งเป็นแพ็กเกจวิ่งผ่านไปบนโครงข่ายที่ใช้สำหรับการสื่อสารข้อมูลทั่วไป แทนการใช้วงจรเฉพาะตามวิธีการสื่อสารในระบบโทรศัพท์แบบดั้งเดิม เปรียบได้กับการให้รถยนต์วิ่งแทรกกันได้ตามช่องว่างที่มีอยู่ของถนน แทนการให้รถยนต์คันเดียวจองถนนวิ่งแบบผูกขาด ข้อดีของวีโอไอพีก็คือการสามารถใช้โครงข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถให้บริการได้ในอัตราค่าบริการที่ถูกลงมาก

ในการใช้บริการวีโอไอพี ผู้ใช้บริการจะต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก่อน หลังจากนั้น สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า ซอฟต์โฟน และไมโครโฟนกับหูฟัง เพื่อพูดคุยกับปลายทางได้ ในปัจจุบัน มีอุปกรณ์ที่เรียกว่า อะนาล็อกเทเลโฟน อะแด็ปเตอร์ เข้ามาแทนการใช้คอมพิวเตอร์ ต่อกับอินเทอร์เน็ต และใช้เครื่องโทรศัพท์อะนาล็อกที่ใช้งานตามบ้านหรือสำนักงานทั่วไปในการโทรศัพท์แบบวีโอไอพีได้ ทำ ให้ได้รับความสะดวก และมีความรู้สึกไม่แตกต่างจากการใช้โทรศัพท์แบบดั้งเดิม

การใช้งานวีโอไอพี สามารถใช้งานได้ทั้งในการโทรศัพท์ถึงปลายทางที่เป็นวีโอไอพีเช่นเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีการเก็บค่าบริการ แต่ทั้งสองข้างจะต้องออนไลน์พร้อมกัน หรือจะโทรฯไปยังปลายทางที่เป็นหมายเลขโทรศัพท์ปกติ ทั้งโทรศัพท์ประจำที่ หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ได้ ในกรณีนี้จะต้องมีการสมัครเป็นสมาชิกของบริการและชำระค่าบริการล่วงหน้า แต่ค่าบริการจะถูกกว่าการโทรศัพท์ปกติมาก.

ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/28756.html

คติเตือนใจ



1. นึกว่าเสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับเธอ 3 ชั่วโมง
2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่!
3. หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรตรงหน้ามันช่างยากจัง
4. ระหว่างแปรงฟันถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบจะทำให้ฟันสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ
5. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก็จะอร่อยขึ้นเยอะ



6. ควรหัดพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า “จะเอายังไง”
7. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟังได้
8. อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
9. เขียนชื่อคนที่เธอเกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้งความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ
10. ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้มา




11. ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน
12. ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าสลับกันไปเรื่อยๆก็ดูเหมือนจะเยอะขึ้น
13. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าคนได้เยอะจนจำชื่อคนให้ไม่หมด
14. ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกแล้วจะดีขึ้น
15. แอบรักใครซักคน ยังไงก็ดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึก “รัก” เป็นยังไง




16. ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่
17. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่มอาจไม่สนุกแต่มีประโยชน์แฝงอยู่
18. วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะทำนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายน่ะ
19. รู้รึเปล่าว่าดอกไม้ที่บานอยู่กับต้น ยังไงก็อยู่ได้นานกว่าบานในแจกัน
20. ทะเลาะกับใครๆ พร้อมรอยยิ้ม เรื่องราวจะจบง่ายกว่าที่คิดเยอะ




21. เอารูปตัวเองตอนเด็กๆ มาดูตอนเครียดอารมณ์จะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
22. พยายามหาข้อบกพร่องของคนที่เธออิจฉาอย่างน้อยก็มีข้อปลอบใจตัวเองบ้าง!
23. โทรไปหาแฟนแล้วพูดแคคำเดียวว่า “คิดถึง” พอวางสายแล้วต้องยิ้มทั้งคู่
24. ในวงสนทนาถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะคุยอะไรรอยยิ้มช่วยแก้สถานการณ์ได้
25. ค่อยๆ เดินทอดน่องแบบสบายๆ ในวันที่ไม่มีธุระให้ต้องไปสะสาง


26. ซื้อของฝากทุกคนในบ้าน ก็เหมือนกับการซื้อของฝากตัวเองนั่นแหละ
27. จะหน้าตายังไงก็แล้วแต่ ถ้าทิ้งขยะลงพื้นก็กลายเป็นขี้เหร่ได้ทันตาเห็น
28. นั่งสมาธิให้นานๆ และบ่อยๆ ก็ทำให้ผิวสวยขึ้นได้เหมือนกัน
29. นอกจากตอนที่เคี้ยวข้าวแล้ว ไม่ว่าก่อนหรือหลังกินก็หัวเราะได้อร่อย
30. จินตนาการถึงเรื่องที่อยากมีหรืออยากเป็นคือยานอนหลับอย่างหนึ่ง




31. อ่านหนังสือหรือการ์ตูนโปรดเป็นการเติมน้ำมันให้ตัวเองอย่างดี
32. ยังไม่มีใครเคยแย้งว่า การอาบน้ำไม่สามารถคลายเครียดได้จริงๆ
33. ก่อนจะด่าใครให้นับ 1 ถึง 50 เผลอๆ อาจจะไม่อยากด่าแล้วก็ได้
34. ไม่ต้องทำยังไงกับเพื่อนที่หักหลังก็แค่อย่าเรียกเค้าว่าเพื่อนก็พอแล้ว
35. รักครั้งแรกส่วนใหญ่ก็อกหักทั้งนั้น น่าจะดีใจที่ไม่แปลกกว่าชาวบ้านเค้า




36. การที่ทำของหายอาจเป็นการใช้หนี้ของชาติที่แล้วให้คนอื่นที่เก็บมันได้
37. ถึงจะไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าซักบาท ยังดีกว่าไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่ตั้งเยอะ
38. หนี้ที่โดนเบี้ยวไป ทำให้เรารู้จักใครบางคนดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลามาก
39. คนอื่นไม่เข้าใจเราไม่เห็นแปลก ในเมื่อเราก็ไม่เข้าใจคนอื่นเหมือนกัน
40. ไม่ต้องช่วยใครๆ ด่าตัวเอง ถ้าสิ่งที่ทำไปแน่ใจว่าพยายามเต็มที่แล้ว




41. วิ่งให้เหนื่อยมากๆ ความโกธรจะได้ถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ
42. ถ้ากลัวจะนอนฝันร้าย สวดมนต์ก่อนนอนเหมือนตอนเด็กๆ ดูสิ
43. ของฝากสำหรับคนห่างไกล คือการโผล่ไปเซอร์ไพรส์ด้วยตัวเอง
44. เพลงจังหวะมันๆ ทำให้คนฟังกระปรี้กระเปร่าได้โดยอัตโนมัติ
45. อย่าเดาว่าอะไรอยู่ในกล่องของขวัญ แล้วจะไม่รู้จักคำว่าผิดหวัง

ที่มา: http://variety.teenee.com/foodforbrain/28952.html

เตือนแป้งพับก็อปปี้แบรนด์เนมชื่อดังเสี่ยงมะเร็ง

คมชัดลึก :กรมวิทย์เตือนใช้แป้งพับก๊อบปี้แบรนด์เนมชื่อดังปนเปื้อนสารโลหะหนักเพียบ ทั้งสารหนู ตะกั่ว แคดเมียม และปรอท สะสมนานชี้เป็นปัจจัยเสริมก่อมะเร็ง เผยแหล่งขายตามแนวชายแดนสุดอันตราย เหตุพบปนเปื้อนมากที่สุด แนะวิธีการเลือกซื้อ ดูแหล่งผลิต วันผลิตและวันหมดอายุ

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ที่โรงแรมแชงกรี-ลา บางรัก กทม. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขจัดการประชุมวิทยาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 18

หัวข้อ “นวัตกรรมก้าวไกล เครือข่ายยั่งยืน” โดยนางกันยารัตน์ ชลสิทธิ์ เภสัชกรผู้ชำนาญการ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 ได้นำเสนอผลงานวิจัยเรื่อง “การปนเปื้อนโลหะหนักในแป้งผัดหน้าชนิดอัดแข็ง” (แป้งพับ) ซึ่งพบการปนเปื้อนโลหะหนักในตัวอย่างที่สุ่มตรวจ


นางกันยารัตน์กล่าวว่า สาเหตุที่วิจัยการปนเปื้อนในแป้งพับ

เนื่องจากเห็นว่าแป้งพับเป็นเครื่องสำอางที่ผู้ใหญ่ในยุคปัจจุบันนิยมใช้เป็นประจำทุกวัน และที่ผ่านมายังไม่เคยทดสอบการปนเปื้อนโลหะหนัก อาทิ สารปรอท แคดเมียม สารตระกั่ว และสารหนู ในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจในครีมทาหน้าชนิดต่างๆ เท่านั้น จึงอยากรู้ว่าแป้งพับที่ขายอยู่ในท้องตลาดทั่วไปมีการปนเปื้อนของสารโลหะหนักหรือไม่ จึงได้นำเสนอโครงการวิจัย โดยได้เก็บตัวอย่างแป้งพับที่จำหน่ายในแหล่งต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งหมด 393 ตัวอย่าง แยกเป็นเครื่องสำอางที่เก็บจากร้านค้าทั่วไป 323 ตัวอย่าง และร้านค้าที่ตั้งอยู่ตามเขตชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน 70 ตัวอย่าง



นางกันยารัตน์กล่าวว่า ผลจากการตรวจพบว่า ตัวอย่างแป้งพับจากร้านค้าชายแดนมีปริมาณโลหะหนักปนเปื้อนเกิน 12 ตัวอย่าง จาก 70 ตัวอย่าง

คิดเป็นร้อยละ 17.2 โดยพบว่า มีการปนเปื้อนสารหนูมากที่สุด รองลงมาเป็นตระกั่ว แคดเมียม และปรอท และร้านค้าทั่วไปพบ 10 ตัวอย่าง จาก 323 หรือคิดเป็นร้อยละ 3.1 โดยพบสารหนู ตะกั่ว แคดเมียม แต่ไม่พบปรอท ทั้งนี้แม้ว่าปริมาณตัวอย่างการปนเปื้อนจะมีไม่มาก แต่ที่น่าสนใจคือ ใน 17 ตัวอย่างจาก 22 ตัวอย่างแป้งพับที่ปนเปื้อนนี้ เป็นแป้งพับที่ลอกเลียนแบบยี่ห้อดังของต่างประเทศ ขณะเดียวกันตัวอย่างแป้งพับที่มีแหล่งผลิตอยู่ในประเทศไทย เช่น ที่โรงงานสมุทรสาคร สมุทรปราการ ซึ่งมีการระบุวันผลิตและวันหมดอายุในฉลากผลิตภัณฑ์ กลับไม่พบการปนเปื้อนของโลหะหนักเหล่านี้


“จากงานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า แป้งพับที่เป็นปัญหาพบสารปนเปื้อนส่วนใหญ่จะเป็นแป้งพับที่ก๊อบปี้แบรนด์ดังจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากฝรั่งเศสและอเมริกา นอกจากนี้ยังมีแป้งพับก๊อบบี้แบรนด์เครื่องสำอางประเทศเกาหลีที่กำลังฮิตในประเทศ ดังนั้นการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จึงต้องระวังในกลุ่มสินค้าที่ลอกเลียนแบบมากที่สุด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีระบุสถานที่ผลิต วันผลิตและวันหมดอายุ ส่วนเครื่องสำอางแบรนด์เนมนั้น ไม่ได้เก็บตัวอย่างตรวจ แต่เชื่อว่าไม่เป็นปัญหา เนื่องจากมีราคาแพง การใช้วัตถุผลิตที่ดีมีคุณภาพ และมีมาตรฐานควบคุมการผลิตที่ดี” นางกันยารัตน์กล่าว


ด้าน นายชัยพัฒน์ ธิตะจารี เภสัชกรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 กล่าวว่า สารปนเปื้อนโลหะหนักเหล่านี้

หากดูดซึมเข้าร่างกายเป็นเวลานาน จะทำให้ไตทำงานผิดปกติและอาจเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ คล้ายกับที่ร่างกายได้รับสารตกค้างจากโรงงานอุตสาหกรรมและมลภาวะที่เป็นพิษ อย่างไรก็ตามจากงานวิจัยนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 ได้ต่อยอดจากงานวิจัยชิ้นนี้ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้แป้งพับของคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง และกลุ่มอาชีพที่ใช้แป้งพับเป็นประจำ โดยการใช้แบบสอบถาม ซึ่งได้เก็บตัวอย่างแล้วจำนวน 1,200-1,300 ตัวอย่างทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการวิเคราะห์เพื่อสรุปความเสี่ยงของคนไทยในการใช้แป้งพับนี้

ที่มา: http://tnews.teenee.com/etc/54636.html

ผลวิจัยล่าสุด จากยาคูลท์

ผลวิจัยล่าสุด..จาก 'ยาคูลท์'

การดื่ม ‘ยาคูลท์’ เป็นประจำทุกวัน กับอาการเกิดโรคท้องร่วงเฉียบพลันในเด็กเล็ก

ผลการศึกษาของบริษัท ยาคูลท์ ฮอนช่า จำกัด (YAKULT HONSHA CO., LTD.) ที่จัดทำขึ้นร่วมกับสถาบันอหิวาต์และโรคลำไส้แห่งชาติของอินเดียบ่งชี้ว่า การดื่ม ‘ยาคูลท์’ เป็นประจำทุกวันสามารถลดการเกิดโรคท้องร่วงในเด็กเล็กอย่างได้ผล

การศึกษาครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกซึ่งได้รับความรับมือจากเด็กๆ จำนวน 3,585 คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดในตัวเมืองโกลกาตา โดยผลที่ได้บ่งชี้ว่า ‘ยาคูลท์’ มีประสิทธิภาพในการลดการเกิดโรคท้องร่วงเฉียบพลันในเด็กเล็กอย่างมีนัยสำคัญในทางสถิติ ผลการศึกษายังบ่งชี้ว่าการดื่ม ‘ยาคูลท์’ เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
ช่วยลดอาการของโรคกระเพาะอาหารและสำไส้ในกลุ่มประชาชนทั่วไป

ทั้งนี้ บริษัท ยาคูลท์ ฮอนช่า เป็นผู้วิจัยเรื่องโพรไบโอติก (probiotics) ซึ่งหมายถึงจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ด้วยการปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ตัวอย่างจุลินทรีย์สายพันธุ์ที่มีประโยชน์คือ แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ สายพันธุ์ ชิโรต้า (YIT9029)
ซึ่งนอกจากจะมีประโยชน์ต่อลำไส้แล้ว รายงานหลายฉบับได้พิสูจน์แล้วว่าจุลินทรีย์ชนิดนี้มีการทำงานแบบภูมิคุ้มกัน อาทิ ช่วยยับยั้งการกำเริบของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดที่ยังไม่ลุกลาม รวมถึงลดอาการแพ้ต่างๆ

ทีมา:

http://variety.teenee.com/foodforbrain/28955.html

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วืธีทำไข่เจียวตามหลักวิทยาศาสตร์



1. จุดประสงค์ของการทำไข่เจียวก็คือ ทำไข่ให้ฟูมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าทำไม่ได้ ก็จะกลายเป็นไข่กวน



2. ทางวิศวกรจึงได้คิดค้นหลักการฟูไข่ ด้วยการเติมน้ำลงไปเล็กน้อย ในอัตราส่วน น้ำ 12.865 cc ต่อไข่ไก่มวล 2.86792 กรัม หรือประมาณ 2.653 ฟอง



3. หลังจากการตีไข่ด้วยเครื่องปั่นที่ความเร็ว 1200 รอบต่อวินาที เป็นเวลา 1 นาที หรือถ้าตีด้วยส้อมก็จะใช้ความเร็ว 2608.50 ทีต่อชั่วโมง เพื่อให้อะตอมของน้ำ แทรกซึมเข้าไปในอนูของไข่อย่างเต็มที จากนั้นรีบเทส่วนผสมลงไปในน้ำมันร้อนๆ ที่ที่กำลังเดือดปุดๆ ณ อุณหภูมิประมาณ 1250.75 องศาฟาเรนไฮท์



4. ที่อุณหภูมิขนาดนั้น จะทำให้อะตอมของน้ำ ทำปฏิกิริยาคาโรแดนโนโทรฟี่ไดแอ็คโครโรซีนิกส์

กับน้ำมัน ทำให้อะตอมของน้ำเกิดการระเหยอย่างฉับพลันหรือที่

เรียก กันว่าแอนฟี่ไออ้อน ไตรแซ็คนีเฟียส ทันที่มีอะตอมของน้ำระเหย จะดันอะตอมของไข่ไปรอบๆ ตัวมัน ผลก็คือ เกิดการพองเป็นเม็ดๆ ไปทั่วไข่



5. การพองดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเยี่ยงปฏิกิริยานิวเคลีย ทำให้ไข่ฟูฟ่องเต็มกระทะ

น่ากินยิ่งนัก



6. ผลการทดลองสำเร็จไปด้วยดี แต่... มันได้เกิดผลข้างเคียงจากการผสมน้ำลงไปในไข่ นันคือเกิดแกสอโลม่าซานโฟนิออสโพรฟิเนคีติ ซึ่งค่อนข้างมีกลิ่นหืนเล็กน้อย ทางวิศวกรจึงได้เติมน้ำมะนาวลงไป 5.006 cc หรือ 1/6 ผล



7. ผลปรากฏว่า ไข่เจียวมีกลิ่นหอมน่าทานเป็นยิ่งนัก จึงได้มีการเผยแพรเคล็ดลับนี้ตามสถานีข่าวและเว็บไซต์ชั้นนำของโลก จนเป็นที่กล่าวขวัญมาจวบจนทุกวันนี้



(i don't know who's he but he told more) *** ...... ยังไม่อร่อยหรอกครับ.. เชื่อผม

การเทไข่จากภาชนะที่ตีลงกระทะนั้น
จะต้องคำนวนความสูงให้พอดี... ความเร็วขณะไข่ประทะน้ำมันขณะร้อนนั้นจะต้องอยู่ที่ 2.124 m/s พอดิบพอดี
และการที่ไข่ประทะน้ำมันที่ร้อนนั้น อาจจะเกินพลังงานส่วนเกิน ทำให้พลังงานความร้อนในน้ำมันเพิ่มขึ้นได้
จึงต้องลดมือลงด้วยความหน่วง รู้ด2.5 m/sสแควร์ เพื่อรักษาพลังงานในน้ำมันให้คงที่... ไม่ให้ร้อนเกินไปครั

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เตือนโทรไม่ติดวางสายก่อน 6 วิ ไม่งั้นเสียเงิน





สบท.ออกเตือน ผู้บริโภค วางสายโทรศัพท์ภายใน 6 วินาที หากเข้าฝากข้อความ ไม่งั้นจะถูกคิดค่าบริการ

นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ออกมาเปิดเผยว่า การให้บริการโทรศัพท์มือถือนั้น จะมีบริการรับฝากข้อความเสียง (Voice Mailbox) อยู่ด้วย ซึ่งการให้บริการดังกล่าวนี่เองที่ผู้บริโภคต้องศึกษาทำความเข้าใจก่อนใช้บริการ

เนื่องจากหากผู้ที่โทรเข้าไม่สามารถติดต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะปิดเครื่อง, ไม่มีสัญญาณ , คู่สายไม่ว่าง หรือ ตัดสายทิ้ง ระบบก็จะโอนเข้าสู่บริการรับฝากข้อความเสียง ซึ่งจากการตรวจสอบการให้บริการโทรศัพท์มือถือนั้น พบว่าจะมีหน่วงเวลาสำหรับผู้โทรเข้าอยู่ประมาณ 6 วินาที หลังจากประโยคว่า "กรุณาฝากข้อความของท่าน หลังได้ยินเสียงสัญญาณ" เพื่อให้วางสายได้ทันหากไม่ต้องการฝากข้อความ ซึ่งผู้ให้บริการ 3 รายใหญ่นั้น ดีแทค และ ทรูมูฟ ยังคงมีหน่วงเวลา 6 วินาที สำหรับผู้บริโภคอยู่ แต่ของ เอไอเอส นั้น จะคิดค่าบริการทันทีที่ระบบอัตโนมัติกล่าวจบประโยค

โดยการคิดค่าบริการนั้น ผอ.สบท.กล่าวว่า ทางผู้ให้บริการจะมีการคิดค่าบริการตามโปรโมชั่นที่ผู้โทรเข้าใช้งานอยู่ ขณะที่ผู้รับสายก็จะเสียค่าบริการเช่นกัน หากเปิดฟังวอยซ์เมล ที่มีคนฝากข้อความเสียงเอาไว้ โดยจะคิดค่าบริการตามโปรโมชั่นที่ใช้งานอยู่เช่นกัน ยกเว้นผู้ใช้บริการในเครือข่าย ทรูมูฟ ที่จะเสียค่าบริการสำหรับลูกค้าระบบเติมเงินนาทีละ 4 บาท และระบบรายเดือน นาทีละ 3 บาท
ที่มา:http://hilight.kapook.com/view/51402

ผู้ใช้ BB โล่ง ไอซีที ยันไม่ขัด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์



BlackBerry



หลังจากที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้มีการหารือกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารb(ไอซีที) ถึงผลกระทบการใช้ โทรศัพท์มือถือ BlackBerry (BB) เพราะมีโปรแกรมส่งข้อความแชทถึงกัน หวั่นเกิดการกระทำผิดต่อ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 เนื่องจากมีการเก็บทราฟฟิกการจราจร หรือ log file ไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ ของบริษัท รีเสิร์ช อินโมชั่น (RIM) ที่ประเทศแคนาดานั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายอารีย์ จิวรรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักกำกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงไอซีที เปิดเผยว่า การใช้ BlackBerry ยังไม่ขัดกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 เนื่องจากผู้ให้บริการทั้ง 3 ราย อย่างเอไอเอส ดีแทค หรือ ทรูมูฟ ได้มีการเก็บทราฟฟิกการใช้งานไว้แล้ว สามารถตรวจสอบได้ว่าแต่ละ pin ใช้งานไปที่ไหน ณ เวลาใด

ทั้งนี้ หากพบว่ามีผู้กระทำความผิดก็สามารถติดตามได้ โดยต้องการตรวจสอบถึงเนื้อความที่คู่กรณีสนทนาระหว่างกัน จะต้องขอความร่วมมือไปยังบริษัท RIM แต่ตอนนี้ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2550 ยังไม่มีผลบังคับใช้กับผู้ให้บริการที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งกรณีนี้คงต้องสอบถามไปยังหน่วยงานความมั่นคงว่า มีกฎหมายอื่นๆ เกี่ยวกับความมั่นคง ครอบคลุมไปถึงส่วนนี้หรือไม่

ที่มา:http://hilight.kapook.com/view/51387


สถิติของจริง ขำ ขำ นะ

1. ถ้าคุณตะโกนนาน 8 ปี 7 เดือน กับอีก 6 วัน คุณจะใช้พลังงานเสียงที่ได้ไปอุ่นกาแฟได้แก้วนึง (ทำไปทำไมเนี่ยะ?)
2. ถ้าคุณตดอย่างต่อเนื่องนาน 6 ปีกับ 9 เดือน แก๊สที่ได้จะเทียบเท่าระเบิดปรมาณูลูกนึงเลยทีเดียว (ใครจะไปตดนานขนาดนั้น)
3. หัวใจมนุษย์มีแรงดันพอที่จะสามารถสูบฉีดเลือดได้ไกลถึง 30 ฟุต
4. หมูจะมีช่วงถึงจุดสุดยอดนานถึง 30 นาที (ชาติหน้าชักอยากเกิดเป็นหมูแล้วสิ)
5. แมลงสาบจะมีชีวิตอยู่ได้นาน 9 วันโดยไม่มีหัว! ..ก่อนที่จะตายเพราะขาดอาหาร
6. โขกหัวเข้ากับกำแพงจะใช้พลังงาน 150 แคลอรี่ต่อชั่วโมง (อาจลองดูที่ทำงานก็ได้นะ)
7.ตั๊กแตนตำข้าวตัวผู้ไม่สามารถร่วมเพศได้ขณะที่ยังมีหัวอยู่ ..ตัวเมียจะเริ่มการมี SEX โดยตัดหัวตัวผู้ออก ......... (ในสารคคีตัวเมียจะแทะหัวตัวผู้ เมื่อร่วมเพศเสร็จ ตัวผู้ก็จะตาย)
8. ปลาดุก มีตุ่มรับรสถึง 27,000 ตุ่ม (ก้นสระมันมีรสชาติอะไรกันนักหนานะ? ถึงจำเป็นต้องมีเยอะขนาดนั้น)
9. สิงโตบางตัวจะร่วมเพศถึง 50 ครั้งต่อวัน ( ยังไงก็ยังชอบหมูอยู่ดี ...คุณภาพอยู่เหนือปริมาณ)
10. ผีเสื้อรับรสที่ปลายเท้า (เป็นอย่างนึงที่สงสัยมานานแล้วว...)
11. กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคือลิ้น
12. คนถนัดขวาจะมีอายุโดยเฉลี่ยมากกว่าคนถนัดซ้ายอยู่ประมาณ 9 ปี
(ถ้าคุณเป็นคนถนัดทั้ง 2 ข้าง ช่วยบอกความแตกต่างหน่อยได้ไม๊)
13. ช้างเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่ไม่สามารถกระโดดได้ (ดีแล้วแหละ..)
14. ปัสสาวะแมวจะเรืองแสงใต้แสง Black Light (ใครนะช่างสงสัยจริง)
15. ตาของนกกระจอกเทศใหญ่กว่าสมองของมันเอง (บางคนก็ชอบให้คนข้างๆเป็นแบบนี้แฮะ)
16. ปลาดาวไม่มีสมอง (บางคนก็ชอบแบบนี้มากกว่าข้างบน)
17. หมีขั้วโลกเป็นสัตว์ถนัดซ้าย (ถ้ามันหัดใช้มือขวาคงมีอายุยืนขึ้นอีกหน่อยนะ...555)
18. มนุษย์และปลาโลมาเป็นสัตว์กลุ่มเดียวที่มี SEX เพื่อความสุขความพอใจ (อ้าว แล้วหมูล่ะ!?)
19. ผู้หญิงกระพริบตาบ่อยกว่าผู้ชายถึงสองเท่า และมากกว่าถึงสามสิบครั้ง เมื่อพวกเธออยู่ที่สระว่ายน้ำ
20. ชื่อโหลที่สุดหาใช่ "จอร์จ" หรือ "ซาร่าห์" ไม่ แต่เป็น "โมฮัมเหม็ด" ต่างหาก
21. คนเราไม่สามารถที่จะเลียข้อศอกของตัวเองได้
22. เวลาปลาหมึกยักษ์หิวจัดเอามากๆ มันจะกินหนวดของมันเอง และรู้มั้ยว่า มันยังเป็นสัตว์ที่มีลูกตาใหญ่ที่สุดในโลก
23. แมงมุมแม่หม้ายดำซึ่งกลืนกินคู่ขาหลังจากการสมสู่ ยังสามารถหม่ำแมงมุมตัวผู้ได้ถึงวันละ 25 ตัวอีกด้วย ร้ายกาจมากกกกก!
24. เตียงนอนในบ้านโดยทั่วไปแล้ว จะมีตัวเล็นและตัวไรซ่อนอยู่ถึง 6 พันล้านตัว
25. ผึ้งจะทำกายบริหารก่อนจะบิน
26. การ์ตูนโดนัลด์ดั้กเคยถูกประกาศห้ามเผยแพร่ในฟินแลนด์ เพียงเพราะว่ามันไม่สวมกางเกง ฮ่า ฮ่า...
27. โดยเฉลี่ยแล้ว มนุษย์จะกินแมงมุมเข้าไป 8 ตัวตลอดชั่วชีวิตหนึ่ง
ก็เวลาที่มันคลานเข้าไปในปากตอนเราหลับปุ๋ยไง
อึ๊ยยย! และรู้มั๊ยว่าคนส่วนใหญ่น่ะกลัวแมงมุม มากกว่ากลัวตายซะอีก
28. ถ้าคุณลากเส้นชอล์กผ่านขวางทางเดินของมด มันจะไม่ยอมเดินผ่านข้ามไป 29. ในแต่ละวันผู้หญิงจะฉอเลาะมากถึง 7.000 คำต่อวัน ขณะที่ผู้ชายปริปากแค่ 2.000 คำต่อวันเอง
30. คุณรู้หรือเปล่าว่า ไม่ว่าแผ่นกระดาษจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน คุณไม่สามารถพับครึ่งได้ถึง 6 ทบ ไม่เชื่อลองดูซิ
31. ครั้งหนึ่งชาวเบลเยี่ยมเคยพยายามใช้แมวเหมียวเป็นตัวส่งจดหมาย ไม่จำเป็นต้องบอกเลยว่า ไม่มีทางสำเร็จผล
32. คุณรู้ไหมว่าโดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงจะกลืนกินพลาสติกลงท้องไปถึง 4 ปอนด์ ในตลอดชีวิตของเจ้าหล่อน
33. ตลอดทั้งชีวิตแล้ว คนทั่วไปจะใช้เวลาจูจุ๊บกันรวมแล้วเกือบสองอาทิตย์เชียวนะ
34. เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะจามทั้งๆดวงตายังเปิด
35. เห็นชัดได้ว่า ลูกตาของคนเราคงขนาดเดิมมาตั้งแต่เกิด แต่จมูกกับหูนั้นไม่เคยหยุดการเจริญเติบโตเลย!
36. วอลท์ดิสนี่ย์ผู้สร้างสรรค์ตำนานการ์ตูนมิคกี่ย์เม้าส์นะ อันที่จริงแล้วเค้าเป็นคนกลัวหนูจะตายไป
37. โฆษณานาฬิกาทุกชิ้น มักให้เข็มนาฬิกาหยุดอยู่ที่ 10:10 เพราะจะได้ดูเป็นรูปใบหน้ายิ้ม
38. ลายเสือเกิดขึ้นจากหนังของมัน ไม่ใช่จากขน
v v
v v

39. ร้อยละ 80 ของคนที่อ่านบทความนี้ พยายามจะเลียข้อศอกตัวเอง กับ พับกระดาษ!! 555

11 เรื่องปรุงแต่งความงานที่ควรใส่ใจ




11 เรื่อง ปรุงแต่งความงามที่คุณควรใส่ใจ (Lisa)

ถึงคุณจะดูแลความงามเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่การทำแต่สิ่งเดิม ๆ ซ้ำซากอยู่ชั่วนาตาปีก็อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไป ตราบเท่าที่ทุกสิ่งรอบตัวคุณ และแม้แต่ในตัวคุณเองก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คุณก็จะเป็นต้องคอยเติมความสดใหม่ให้การดู และงามของคุณอยู่เรื่อย ๆ เราได้รวบรวม 11 เรื่องของการดูแล และปรุงแต่งความงามที่คุณควรใส่ใจ และปรับเปลี่ยนมันซะบ้าง...นะ

1. พิจารณาผิวของคุณ

ทำไมน่ะเหรอ? อ้าว ก็คุณแน่ใจแล้วหรือว่าใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวของตัวแล้ว
จริง ๆ มีผู้หญิงจำนวนมากที่ใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่งไม่เหมาะกับผิวตัวเอง เพราะพวกเธอคิดเอาเองว่า ผิวของเธอเป็นเช่นนั้น และความจริงอีกอย่างที่คุณมักจะลืมนึกถึงกันก็คือ มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อผิวของเรา เช่น อากาศ สภาพแวดล้อม อารมณ์ ฮอร์โมน หรือความเครียด

ซึ่งนั่นหมายความว่า ผิวของคุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ คุณถึงต้องคอยพิจารณาผิวตัวเองเป็นระยะ เพื่อดูว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และควรปรับเปลี่ยนการใช้ผลิตภัณฑ์ยังไงบ้าง ให้เหมาะกับผิวอย่างแท้จริง

วิธีทดสอบ ลักษณะผิวแบบง่าย ๆ

ขั้นแรกทำความสะอาดผิวหนังด้วยผลิตภัณฑ์ ที่อ่อนโยนที่สุด และทิ้งไว้หนึ่งชั่วโมงโดยไม่ทาผลิตภัณฑ์ใด ๆ ลงไปเลย หลังจากนั้น ลอกแผ่นทิชชูออกมาเป็นชั้นบาง ๆ แล้ววางลงบนใบหน้า กดซับเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้า
ถ้ามีน้ำมันติดออกมาบนทิชชูจาก ทุกจุดของใบหน้า แสดงว่าคุณผิวมัน แต่ถ้าไม่มีน้ำมันติดออกมาเลย แต่กลับมีขุยแห้ง ๆ บนใบหน้า ก็แสดงว่าผิวคุณแห้ง ถ้ามีน้ำมันติดออกมาเฉพาะบริเวณทีโซน คุณมีผิวผสม ถ้าไม่มีน้ำมันหรือผิวไม่มีขุยแห้ง ๆ แสดงว่าผิวคุณเป็นผิวธรรมดา
ขนาดของรูขุมขนก็เป็นอีกอย่าง ที่บ่งชี้ถึงลักษณะผิวได้ ผิวแห้งมักมีรูขุมขนเล็ก ขณะที่ผิวมันมักมีรูขุมขนกว้าง
ผิวแพ้ง่ายสามารถเป็นผิวประเภท ใดประเภทหนึ่งก็ได้ แต่สิงที่เพิ่มขึ้นก็คือ มักมีอาการระคายเคืองได้ง่าย และเกิดปฏิกิริยากับสิ่งต่าง ๆ ที่ทาลงไปบนผิวได้ง่าย และรวดเร็ว แต่จำไว้ว่าอาการระคายเคืองอาจเกิดได้ถึงแม้ผิวคุณจะไม่ได้แพ้ ง่ายก็ตาม ถ้าคุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงเกินไป เพราะฉะนั้นควรพิจาณาดูว่าคุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงเกินไปหรือเปล่า หรือคุณแพ้ผลิตภัณฑ์ได้แทบจะทุกอย่าง

2. ปรนนิบัติใบหน้าที่บ้าน

ไม่จำเป็นต้อง เข้าสปาเพื่อได้รับการปรนนิบัติผิวหน้าเสมอไป
เพราะคุณสามารถทำได้เองที่บ้านด้วยของจากครัวที่บ้าน เช่น ขัดหน้าด้วย เบกกิ้งโซดากับน้ำส้ม เพื่อขัดลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป หรือบดมะละกอสุกให้ละเอียด แล้วพอกหน้า และอีกทางเลือกหนึ่งก็คือผลิตภัณฑ์ดี ๆ ที่สามารถซื้อใช้ได้จากเดาน์เตอร์ ที่ขาดไม่ได้ก็คือผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิว

ส่วนผลิตภัณฑ์สำหรับพอกผิวหรือมาส์กทั้งหลายแหล่ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเติมเต็ม ความต้องการของผิวในแบบเร่งด่วน พร้อมกับช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ด้วย

3. รู้จักความต้องการของผิว

เป็นเรื่องปกติ ที่ผิวของเรามักจะมีปัญหาผิวอย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาที่คุณเป็นกังวลพิเศษ เพราะฉะนั้นอย่าลืมใส่ใจ และเรียนรู้ความต้องการของผิว รวมถึงใส่ใจ และเรียนรู้เรื่องของส่วนผสมต่าง ๆ ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของผิวให้ดีด้วยล่ะ

ถ้าคุณเป็นสิว (ในทุกวัย) ลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกหรือ BHA 0.5-2% ที่จะทำให้รูขุมขนสะอาดโดยไม่ทำให้ผิวแห้งเกินไป ถ้ากรดซาลิไซลิกไม่แรงพอ ลองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเบนซอยล์เพอร์ออกไซด์หรือน้ำมัน ทีรี

รูขุมขนใหญ่ ปกติแล้วขนาดของรูขุมขนเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ และเราไม่สามารถทำให้รูขุมขนเล็กลงได้จริงๆ แต่สามารถทำให้มัน “ดู” เหมือนเล็กลงได้ ด้วยการทำให้รูขุมขนสะอาดปราศจากสิ่งอุดตัน และช่วยลดการผลิตน้ำมันที่ทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น ลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอย่างซิลิก้าที่ช่วยดูดซับน้ำมันส่วน เกิน หรือส่วนผสมที่ลดการอุดตันของรูขุมขน หรือลดการสร้างน้ำมัน โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรใช้หลังจากทำความสะอาด และทามอยสเจอไรเซอร์แล้ว หรือทาอย่างเดียว

ผิวหมองคล้ำ มักเป็นผลมาจากการที่ผิวขาดการผลัดเปลี่ยนเซลล์ และมีการสะสมตัวของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว เลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยขัดลอกเซลล์ผิวอย่างกรด AHA ทั้งหลาย เช่น Glycolic, Malic, Tartaric หรือ Lactic นอกจากนี้ลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี เพื่อช่วยทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น

ริ้วรอย หนึ่งในส่วนผสมที่ยอดนิยมที่พบในซีรั่มทั้งหลายก็คือ Hyaluronic Acid ส่วนผสมที่สามารถอุ้มน้ำได้มากกว่าน้ำหนักตัวเองถึง 1,000 เท่า เหมาะสำหรับป้องกันการสูญเสียน้ำ นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอย่างเรตินเอ หรือวิตามินซีที่ช่วยส่งเสริมการสร้างคอลเลาจนใหม่ที่สามารถ ช่วยในเรื่องริ้วรอยได้

จุดดำหรือรอยดำ ไม่ว่าจะจากแดดหรือจากวัยควรเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะ เนื่องจากระดับความไวต่อผิวของคนเราต่างกัน ตัวเลือกที่ดีที่สุดโดยเฉพาะสำหรับผิวแห้งหรือแพ้ง่ายก็คือ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากพืชธรรมชาติ ที่ช่วยในการทำให้สีผิวจางลง เช่น สตอรวเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ มัลเบอรี่หรือลิโคไรซ์ ส่วนผสมหลักอื่น ๆ ที่ช่วยในเรื่องจุดด่างดำ ก็คือวิตามินซี หรือกรดไกลโคลิก

และจำไว้ ด้วยว่า...

ใช้ครีมกันแดดทุกวัน เพื่อปกป้องการดูแลผิวของคุณ และป้องกันความเสียหายในอนาคต
ขัดผิวเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้เป็นไปตามปกติ และทำให้ผลิตภัณฑ์ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น
ก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ ควรขอตัวอย่างจากเคาน์เตอร์ไปทดลองใช้ก่อน เพื่อดูว่าแพ้หรือเปล่าก่อนจะซื้อ และที่ซึ่งเหมาะแก่การทดสอบก็คือการทาตามแนวกรามในปริมาณเล็กน้อย
ควรให้เวลาอย่างน้อย 28 วัน กว่าที่ทรีตเมนต์ต่าง ๆ จะเห็นผลชัดเจน

4. ทำอะไรสักอย่างกับผมของคุณ

จะตัด ดัด หรือย้อมก็ง่าย ๆ แค่นี้เองสำหรับการสร้างความสดใสให้แก่ผู้หญิงเรา เพราะบ่อยครั้งที่คนเรามักจะติดอยู่กับผมทรงเดิม ๆ ทรงเดียวผู้หญิงบางคนอาจไว้ผมยาวตรงมาตลอดชีวิต หรือไม่เคยดัดผมเลย คุณควรลองผมใหม่ ๆ ดูบ้างนะ คุณไม่มีวันรู้หรอก คุณอาจจะชอบผมสั้นชี้ ๆ หรือผมบ็อบแบบเลเยอร์ก็ได้ การตัดผมยังเป็นการตัดปลายผมส่วนที่มักจะแห้งเสียได้ง่ายออกไป ทำให้เหลือแต่เส้นผมส่วนที่แข็งแรงและดูดีกว่า

และเลิกกลัวว่า การดัดหรือย้อมสีผมจะทำให้ผมเสียได้แล้ว ผลิตภัณฑ์เดี๋ยวนี้ล้วนแต่ถูกพัฒนาขึ้นให้อ่อนโยนต่อเส้นผมมากขึ้น พร้อมทั้งยังเพิ่มเติมส่วนผสมที่ช่วยบำรุงผมเข้าไปอีก นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์สำหรับการบำรุงผมดี ๆ อีกมากมายที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยดูแลผมที่ผ่านกระบวนการเคมี ทั้งหลายให้คุณเลือกใช้ในท้องตลาดมากมาย ก็เลือกชนิดของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับความต้องการของเส้นผม

คุณก็จะสามารถสนุกกับการเปลี่ยนแปลงของทรงผมได้อยู่ตลอดเวลา พร้อมกับรู้สึกเป็นคุณคนใหม่ได้ทุกสามเดือน (ซึ่งเป็นเวลาที่คุณควรตัด หรือเล็มผม ไม่ว่าจะเปลี่ยนทรงหรือไม่ก็ตาม) เลยล่ะ

5. เคลื่อนไหวร่างกาย

อย่าเพิ่งคิด ว่าไม่เกี่ยวกัน การเคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้โลหิตสูบฉีดมายังผิว และนำพาสารอาหารมาหล่อเลี้ยงผิวได้ดีขึ้น ผิวจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง และอ่อนเยาว์ จงทำให้การออกกำลังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่แค่สิ่งที่นาน ๆ ทำครั้งหนึ่ง โดยตั้งเป้าบริหารความแข็งด้วยการยกน้ำหนัก (มันเร่งการเผาผลาญของคุณ) 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และออกกำลังแบบคาร์ดิโอ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง

6. อย่ามองข้ามคิ้ว

เราพูดเสมอว่า คิ้วที่ตกแต่งอย่างดี และสุดนี้ยบ เป็นกรอบที่ขับเน้นให้ใบหน้าดูคมชัด และทำให้หน้าของคุณดูสวยขึ้นทันที แม้จะยังไม่ได้แต่งเติมสีสันอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้นคอยสำรวจรูปคิ้วของคุณเสมอ และใช้แหนบถอนขนคิ้วที่รุงรังออกนอกเส้นทางออก แต่อย่าถอนขนคิ้วมากเกินไปล่ะ คิ้วที่เขียนใหม่ทั้งหมด ยังไงก็สวยสู้คิ้วเดิม ๆ ของคุณที่แต่งเติมสีสันเพิ่มเติมเข้าไปไมได้ หรอก

7. จัดระเบียบโต๊ะเครื่องแป้งซะ มั่งนะ

คุณจัดระเบียบเครื่องสำอางของคุณครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? ถ้าต้องคิดอยู่นานก่อนจะตอบเนี่ย ก็เริ่มลงมือจัดโต๊ะเครื่องสำอางของคุณใหม่ได้แล้ว!

คุณควรเคลียร์เมกอัพของคุณทุกหก หรือสิบสองเดือน เนื่องจากแบคทีเรียสามารถเติบโตได้ในเมกอัพของคุณ โดยเฉพาะของอย่างมาสคาร่าที่อาจมีแบคทีเรียก่อตัวขึ้นได้ ในเวลาแค่สามเดือน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองตาได้ ฉะนั้น ถ้าเริ่มสงสัยว่าอะไรไม่ดีก็โยนทิ้งได้แล้ว
ถามตัวเองว่าใช้ของชิ้นนี้หรือเปล่า มันจำเป็นจริงๆ หรือเปล่า หรือฉันชอบมันหรือเปล่า ถ้าคุณตอบว่าไม่ คุณก็รู้แล้วว่าต้องทำยังไง
เวลาที่คุณสำรวจเครื่องสำอาง ของตัวเอง คุณโยนมันทิ้งได้ง่ายๆ หรือมักจะคิดว่าเก็บไว้ก่อนดีกว่า เราอาจต้องใช้มันสักวันหนึ่งแน่ จำไว้ว่าคนเรามักใช้ของที่มีอยู่แค่ 20% ของของที่มีอยู่เท่านั้นเอง

8. โยนทิ้งสีสันอันน่าเบื่อ

แน่นอนว่าสีกลาง ๆ มักใช้ได้ง่ายสำหรับผู้หญิงแทบทุกคน และเราก็มักจะพอใจกับความปลอดภัยเช่นนั้นเสียจนติดหล่มอยู่กับสีสัน อันน่าเบื่อชั่วตาปีตาชาติ แฟชั่นมีมาใหม่ทั้งปี แล้วคุณก็ซื้อเสือผ้าใหม่ ๆ ทุกซีซั่นไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่ซื้อเมกอัพสีสันใหม่ ๆ ดูบ้างล่ะ? ตอนนี้ลิปสติกสีคอรัลกำลังมาแรง เช่นเดียวกับอายแชโดว์สีสดใส ถ้าใจไม่กล้าพอ ลองใช้สีพาสเทลดูมันทำให้สีสันสดใสดูอ่อนหวานขึ้น และใช้ได้ง่ายสำหรับผู้หญิงทุกคนเลยทีเดียว

9. เขียนขอบตาเสมอ

นี่เป็นเครื่อง มือชิ้นสำคัญอีกอย่างสำหรับ “ตอนนี้” ที่จะทำให้คุณดูดี และทันสมัยโดยไม่ต้องแต่งหน้ามากเลย หรือถ้าคุณทาอายแชโดว์การเขียนขอบตาก็จะยิ่งทำให้สีสันที่คุณแต่ง เอาไว้ดูดียิ่งขึ้น แต่ข้อสำคัญก็คือ เลิกยืดติดกับการเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์สีดำแต่ เพียงอย่างเดียวเสียที! สีเข้มขรึมอย่างอื่นที่ไม่ใช่สีดำ เช่น สีม่วงเข้ม สีน้ำเงินขรึม สามารถขับเน้นดวงตาให้ดูคมขัดขึ้นได้เช่นเดียวกับสีดำ หรืออาจจะสวยกว่าสีดำเสียด้วยซ้ำ

และคุณก็ไม่จำ เป็นต้องไปหาซื้ออายไลเนอร์สีสันมาใช้เสมอไป ลองใช้อายแชโดว์สีเข้ม หรือสีสดใสที่คุณมีอยู่สำหรับเขียนขอบตา หากอยากให้สีสดชัด และเนื้อลื่นเขียนง่ายขึ้น จุ่มแปรงลงในน้ำเล็กน้อย ก่อนแตะลงบนอายแชโดว์ น้ำจะช่วยให้สีสดขึ้น และเขียนได้ง่ายขึ้น

ไม่ว่าจะใช้ สีอะไร...อย่าแต่งหน้ามากไปล่ะ

คุณรู้ได้ว่า คุณแต่งหน้ามากไปถ้า...

สีของคอกับหน้าไม่สม่ำเสมอกัน รองพื้นอาจชาวเกินไปหรือดำเกินไป หรืออาจทาหนาเกินไปก็ได้
นิ้วของคุณสะอาดเอี่ยม แสดงว่าคุณไม่ได้เกลี่ยสีให้กลมกลืน ซึ่งปลายนิ้วนี่แหละคืดผู้ช่วยที่ดี และการไม่เกลี่ยสีให้ดีพอ อาจทำให้สีสันบนใบหน้าของคุณจัดจ้านเกินไป
เวลาถือกระจกแล้วเดินมาส่องดูหน้า ตัวเองที่ริมหน้าต่างแล้วแทบจะเป็นลมตาย จำไว้เหอะว่าแสงธรรมชาติไม่เคยโกหกคุณ
มีลิปสติกติดที่ฟัน มันหมายความว่าคุณทาลิปสติกหนาเกินไป ถ้าคุณใช้สีสด ให้ทาเป็นชั้นบางๆ ก็พอ
คุณใช้ทุกเฉดสีที่มี คุณอาจซื้ออายแชโดว์พาเล็ตต์ที่มีตั้งสี่สี แต่ขอร้องล่ะ อย่าใช้หมดทุกสีพร้อม ๆ กันเลยนะ

10. สวยจากภายใน

ความงามที่แท้ จริงมาจากภายใน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ทำให้คุณสบายใจมีความสุข และรู้สึกสงบเยือกเย็น ก็สามารถช่วยให้คุณดูดีขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะบ่อย ๆ

การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า การหัวเราะสามารถช่วยลดความดันโลหิต ทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ทำให้อารมณ์ดี๊-ดี แล้วก็ดูดีขึ้นด้วย เช่นเดียวกับการมองโลกในแง่ดี การชื่นชมยินดีในสิ่งที่อยู่รอบตัวคุณและรับเอาทุกอย่างโดย ปราศจากความคาดหวัง สนุกกับชีวิต ไปพร้อมกับการทำดีต่อคนอื่น การทำงานอาสาสมัคร การไปร่วมเดินรณรงค์ต่อต้านมะเร็ง หรือแม้แต่ไปช้อปปิ้งเพื่อบริจาคเงินให้การกุศล ทุกอย่างล้วนทำให้คุณรู้สึกดี และนั่นก็ทำให้คุณดูดีตามไปด้วย

11. เปลี่ยนแปรงแต่งหน้า

แปรงและอุปกรณ์ แต่งหน้าทั้งหลายเป็นเครื่องมือจำเป็น ที่จำช่วยให้คุณแต่งหน้าได้สวยงามอย่างต้องการแปรงดี ๆ จะช่วยให้การเกลี่ยสีง่ายขึ้นและนวลเนียนดูเป็นธรรมชาติ แปรงดี ๆ อาจมีราคาแพง แต่มันสามารถใช้งานได้ดีและได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า จึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

แต่ข้อสำคัญก็คืออย่าลืมล้างแปรงแต่งหน้าของคุณเป็นประจำด้วยล่ะ คราบสกปรกที่ติดอยู่อาจเป็นที่สะสมของแบคทีเรีย และทำให้เกิดอาการระคายเคืองบนผิวหน้าได้ เพราะฉะนั้นกดปุ่ม “Refresh” ให้กับแปรงแต่งหน้าของคุณเป็นประจำสม่ำ เสมอด้วยล่ะ