วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

10 ข้อห้ามเทศกาลกินเจ


ประเพณีการกินเจ หรือ เทศกาลกินเจ จะกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือเริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนทุก ๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีน โดยผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ กินเพื่อสุขภาพ, กินด้วยจิตเมตตา และกินเพื่อเว้นกรรม



ประเพณีกินเจก็คือประเพณีกินผัก หรือที่เรียกว่า มังสวิรัติ ซึ่งเป็นประเพณีเก่าของ ชาวจีน ที่ถึงจะย้ายถิ่น ฐานไปอยู่ในประเทศใด ก็ยังคงยึดถือปฏิบัติตามประเพณีนี้อยู่

สำหรับ ประเทศไทยที่มีชาวจีนมาตั้งรกรากอยู่จำนวนไม่น้อย ปัจจุบันกลายเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ก็ยังยึดถือประเพณีกินเจเช่นกัน ประเพณีกินเจในประเทศไทยที่ผู้คนรู้จักกันดีก็คือ ที่จังหวัดภูเก็ต ที่เกิดขึ้นมากกว่าร้อยปีแล้ว โดยแพร่หลาย มาจากคณะงิ้วประเทศจีนที่มาแสดงให้ชาวจีนในภูเก็ตดู การกินเจในปัจจุบันมิได้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อจะป้องกัน ภัยพิบัติเท่านั้น แต่ยังเป็นการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และเป็นการเคารพถึงดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไป

แล้ว .........ในช่วงเทศกาลกินเจมีข้อห้ามที่ยึดถือปฏิบัติกันมานานอยู่หลายข้อ เชื่อกันว่าถ้าปฏิบัติได้ครบทุกข้อจึงจะเข้า ถึงการกินเจที่ถูกต้องและ ได้บุญอย่างแท้จริง จึงขอยกข้อห้ามทั้ง 10 ข้อในเทศกาลกินเจมาเล่าให้ฟังกัน จะว่าเป็น การไขข้อข้องใจกันก็ได้ เพราะเชื่อว่าบางข้อยัง เป็นที่สงสัยกันอยู่ เริ่มที่

ข้อแรก การงดกินผักฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรง ซึ่งประกอบไปด้วยพืชผัก 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม (หัวกระเทียม, ต้นกระเทียม) หัวหอม (ต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง,หอมขาว,หอมหัวใหญ่) หลักเกียว (ลักษณะคล้าย หัวกระเทียม แต่เล็กกว่า) กุ้ยช่าย (ใบคล้ายใบหอม แต่แบนและเล็กกว่า) ใบยาสูบ (บุหรี่,ยาเส้น,ของเสพติดมึนเมา) ผักเหล่านี้เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง นอกจากนี้ยัง ให้โทษทำลายพลังธาตุในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลัก สำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ สำหรับผู้ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานไม่ควรรับประทาน พราะผักดังกล่าวมีฤทธิ์ กระตุ้นจิตใจและอารมณ์ให้เร่าร้อน ใจคอหงุดหงิด โกรธง่าย และยังมีผลทำให้พลังธาตุในร่างกายรวมตัวไม่ติด จิตใจจะไม่บริสุทธิ์ ซึ่งในข้อห้ามนี้มีบางคนยังข้องใจกันมาก คือ กระเทียมซึ่งทางการแพทย์และเภสัชกรพบว่า สามารถรับประทานเป็นยาได้ ทั้งนี้เพราะเป็นสารที่มีประโยชน์สามารถละลายไขมันในเส้นเลือดได้ เช่น ผู้ป่วยที่ เป็นโรคเส้นโลหิตเลี้ยงหัวใจตีบหรืออุดตัน เป็นต้น แม้ทางการแพทย์แผนโบราณก็ยืนยันตรงกันว่ากระเทียมเป็น สมุนไพรรักษาโรคได้ แต่คนจีนที่ปฏิบัติในการกินเจถือว่าให้โทณกับหัวใจ ซึ่งในข้อนี้ต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อของ แต่ละคน

ข้อที่สอง การงดกินเนื้อสัตว์ ซึ่งประกอบไปด้วย เนื้อวัว หมู ปลา หรือสัตว์มีชีวิตที่ใช้เป็น อาหารได้ เพราะ คนจีนเชื่อว่าก่อนตายมันจะตกอยู่ในอาหารตกใจกลัวเมื่อเรากินมันเข้าไป อาจจะทำให้เรามีบาปติดตัวไปด้วย เพราะมันคือสิ่งที่มีชีวิตเหมือนกับคน ข้อนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คนจีนถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่มาถึงปัจจุบัน ..........บางคนเริ่มหาข้อคัดค้านว่าสัตว์บางชนิดอย่าง หอยหรือปลาเล็กๆ ก็น่าจะรับประทานได้เพราะมันเป็นสัตว์ไม่มีเลือด ตามความเชื่อแล้วมันขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่ถ้าในความเป็นจริงแล้ว คนจีนเขาเชื่อว่าประเพณีนี้ศักดิ์สิทธิ์ถ้าปฏิบัติ ให่เคร่งครัด ถึงจะมีคนคัดค้านแต่กับข้อนี้คงไม่ได้ผล

ข้อที่สาม ไม่ควรกินอาหารรสจัด ซึ่งไม่ใช่แค่รสเผ็ดอย่างเดียว รวมไปถึงรสเค็มมาก หวานมากหรือเปรี้ยวมาก ด้วย ซึ่งปกติคนจีนจะไม่กินรสจัดอยู่แล้วเพราะถือว่าจะเข้าไปทำลายสุขภาพ อย่างกินเผ็ดจัดก็จะไปทำลาย กระเพาะ กินเค็มมากจะไปทำลายไตได้ และอีกอย่างน้ำปลาก็ทำมาจากสัตว์เหมือนกัน ข้อห้ามนี้ถือว่าถูกหลักของ การแพทย์ แต่บางคนที่ปฏิบัติไม่เคร่งครัดนัก เช่น ชอบรสเค็มจัดก็ใช้เกลือแทนน้ำปลา อันนี้ถือว่าไม่ผิด

ข้อที่สี่ ต้องกินอาหารที่คนกินเจด้วยกันปรุง ซึ่งข้อนี้ถ้าปฏิบัติได้จะถือว่าบริสุทธิ์จริงๆ แต่ถ้าทำให้เกิดความยาก ลำบากก็ไม่จำเป็น จะได้ไม่ต้องเลือกร้านกันจ้าละหวั่น ฉะนั้นคนที่ปรุงอาจจะไม่ได้กินเจก็ได้แต่ขอให้อาหารที่กินเข้า ไปเป็นอาหารเจก็พอ

ข้อที่ห้า ถ้วยชามจะต้องไม่ปนกัน เพราะเขาถือเคร่งครัดว่าอาหารคาวซึ่งชาวจีนเรียกว่า " ชอ " นั้น ถ้วยชาม จะใช้ปนกันไม่ได้ จะถือว่าล้างสะอาดหมดจดแล้วจึงเอามาใช้ก็ผิดอีก บางคนคิดว่าล้างให้สะอาดมากๆ ก็ไม่จำเป็น ต้องแยก แต่ข้อนี้ถือว่าเป็นธรรมเนียมเหมือนอย่างอิสลามที่ไม่ยอม ใช้ถ้วยชามปนกัน เหมือนของจีนนั่นแหละ

ข้อที่หก ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ข้อนี้ตรงกับการรักษาศีลของชาวพุทธ การฆ่าสัตว์ของชาวจีนตั้งแต่สัตว์เล็กๆ ไป จนถึงสัตว์ใหญ่เป็นข้อเคร่งครัดเช่นกัน บางคนสงสัยอีกว่าอย่างถ้าเป็นยุงหรือมดฆ่าได้ไหมตามความเชื่อแล้วห้าม เด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถือว่า ปฏิบัติไม่ครบ

ข้อที่เจ็ด แต่งกายด้วยชุดขาว ข้อนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนก็ใส่ชุดสีขาวตลอดจนถึงออกเจเพราะเชื่อกัน ว่านอกจากงดอาหาร ต่างๆ ในร่างกายสะอาดแล้วภายนอกแม่จะเป็นเครื่องแต่งกายก็ต้องสะอาดด้วย ข้อนี้ไม่ใคร่ เข้มงวดสำหรับบุคคลที่ปฏิบัติอยู่กับบ้าน ไม่ได้ไปที่แจตั๊วหรือสถานที่ทำพิธีกินเจ

ข้อที่แป
พูดจาไพ
เราะ คนที่ถือศีลกินเจไม่ใช่เพียงแต่กินของสะอาดเท่านั้น แต่คำพูดที่พูดออก จากปากก็ต้อง สะอาดด้วย สิ่งไม่ดีทั้งหลายไมควรพูดหรือที่เรียกว่า " ปากเจ " ซึ่งประกอบไปด้วย ไม่พูดเท็จ ไม่พูดยุแหย่ ไม่พูด เพ้อเจ้อ ถ้าปฏิบัติได้ก็ถือว่าสะอาดทั้งหมด

ข้อที่เก้า งดดื่มสุราและของมึนเมา ตลอดช่วงเวลา 9 วัน ..........ข้อนี้สำคัญเพราะการงดอาหารที่เป็นของคาวแล้วสิ่ง ที่สร้างความมึนเมาหรือสิ่งแปลกปลอมในร่างกายก็ห้ามเข้าสู่ร่างกายด้วย

ข้อที่สิบ ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง คนที่จะไปกินเจมักจะไปชุมนุมกันที่แจตั๊วหรือสถานที่กินเจ ณ ที่นั้น เขาจะประดับดอกไม้ตั้งโต๊ะบูชา วางกระถางธูปและตั้งเครื่องเจ ต่างๆ นอกจากนี้ ก็จุดโคม 9 ดวงเพื่อสมมติเป็น " เก๊าฮ้วงฮุดโจ้ว " นั่นเอง ซึ่งจะต้องจุดไว้ทั้งกลางวันและ กลางคืนจนตลอดงานทีเดียว ถ้าดับโคมไฟดวงใดดวงหนึ่ง ก็จะถือว่าไม่เป็นสิริมงคลและไม่ครบถ้วนพิธีการกินเจ…

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อห้ามในการกินเจใครจะ ปฏิบัติตามหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของตัวเอง ประเพณีกินเจโดยทั่วไปแล้วมิได้ทำกันตลอดทั้งปี แต่จะเริ่มกินในช่วงวันขึ้น 1 ค่ำ จนถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ซึ่งตก ในเดือน 11 ข้างไทยเป็นวันกินเจ ซึ่งจะสับเปลี่ยนเวียนไปตามปีนั้นๆ ใครที่ไม่ได้เป็นลูกหลานชาวจีนถ้าต้องการจะ มีร่างกายและจิตใจ ที่บริสุทธิ์และได้ทำบุญกุศลอาจจะอยากเข้าร่วมพิธีนี้ด้วยก็ได้ เป็นการดีเสียอีกที่ปีหนึ่งคนเรา หันมาทำบุญร่วมกัน

รู้ไหมว่าเจอพริกไทยทำใมถึงต้องจาม



รู้ไหมว่า...เจอพริกไทยทำไมต้องจาม

นั่นก็เพราะสารเคมีที่ชื่อ “ไพเพอรีน” (piperine) ที่อยู่ในพริกไทย

ไพเพอรีนเป็นสารอัลคาลอยด์ที่มีรสเผ็ดแสบร้อนที่เป็นตัวทำให้ระคายเคือง


การจามจึงเป็นผลพวงที่เกิดขึ้น โดยประสาทส่วนปลายที่เยื่อบุอ่อนต่างๆ ในช่องจมูกและปาก ได้รับรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติมากระตุ้น จึงสั่งการให้ผลักดันสิ่งผิดปกติดังกล่าวออกไป นับเป็นปฏิกิริยาต่อต้านของร่างกายเพื่อป้องกันตนเองด้วยการจาม

หลายคนอาจจะเคืองพริกไทยที่ทำให้ร่างกายระคายเคือง แต่นักวิทยาศาสตร์ไทยกำลังสนใจสารไพเพอรีนตัวนี้ เพราะพบว่า มีคุณสมบัติในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ จึงพยายามพัฒนาเป็นสเปรย์หยอดจมูก โดยจะสกัดสารในระดับนาโนเมตร เพื่อจะลดปฏิกิริยาต่อเยื่อบุต่างๆ ให้น้อยที่สุด

ส่วนหนทางที่จะไม่ให้จามเมื่อสูดพริกไทยเข้าไป คงยังไม่มีคำตอบในปัจจุบัน

ทว่าเวลาเราจามแต่ละที สิ่งต่างๆ ที่หลุดออกจากจมูกหรือปากจะเดินทางด้วยความเร็วประมาณ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะค้างวนเวียนอยู่ในอากาศได้นานเป็นวันๆ

ที่สำคัญ เราจามแต่ละครั้งมีเชื้อโรคแพร่สู่อากาศถึง 20,000 ตัวเลยทีเดียว !!

ที่มา :http://variety.teenee.com/foodforbrain/30013.html

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

น้ำหอมทำพิษ

ผู้หญิงสวยเลอโฉมที่ชอบประพรมกาย ด้วยน้ำหอมกลิ่นแรงๆ มันอาจจะเป็นพิษภัยได้ กลับมาสะกดตัวเองให้กลายเป็นคนซึมเศร้าไป



น้ำหอมกลิ่นแรงทำพิษกับหญิงสวย หลังจากคณะนักวิจัยค้นพบว่าผู้หญิงที่ชอบใช้ น้ำหอม กลิ่นแรงๆ ไปนานๆ จะทำลายสุขภาพกลายเป็นโรคซึมเศร้า แถมสูญเสียความไวของประสาทการได้กลิ่นจนอาจกลายเป็นโรคร้ายแรงได้

หนังสือพิมพ์รายวัน "เดลี่ เทเลกราฟ" ชื่อดังของอังกฤษเสนอข่าวว่า คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเทล อาวีฟ ที่อิสราเอล ศึกษาพบว่าผู้หญิงที่ชอบใช้น้ำหอมกลิ่นแรงๆ ไปนานๆ จนชักคุ้นกลิ่นจะมีอาการที่ทางการแพทย์ถือว่าเป็นอาการซึมเศร้าลงเรื่อยๆ ขึ้นได้

ศาสตราจารย์ เยอุดา โชนเฟลด์ ผู้เป็นหัวหน้าเปิดเผยผลการศึกษาต่อไปว่า"การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ส่อว่า ผู้หญิงผู้นั้นยังจะพลอยสูญเสียความไวของประสาทการได้กลิ่นลงไปด้วย ทำให้ยิ่งใช้น้ำหอมหนักมือขึ้น"

คณะนักวิจัยยังได้พบว่า โรคบางโรคก็อาจทำให้ร่างกายไปโจมตีระบบรับกลิ่นเข้าทำให้เสียความรู้สึกรับกลิ่นไป ซึ่งก็หมายว่าการที่ความรู้สึกรับกลิ่นเสียหายยังอาจเป็นเครื่องชี้ถึงอาการที่ร้ายแรงอื่นๆ อีกด้วย


รู้แบบนี้แล้วคุณสาวๆ ที่ชอบใช้น้ำหอมเหมือนอาบน้ำหอมมาก็ต้องระวังไว้มากๆ กลิ่นหอมอาจมีประโยชน์ทำให้น่าหลงใหล แต่ถ้ามากไปก็อาจจะเกิดโรคร้ายได้เลยเช่นกัน

ทีมา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/29745.html

ต้นกำหนดตู้เย็น



ตู้เย็น (Refrigerator)


ชาวกรีกและชาวโรมันโบราณเป็นผู้คิดประดิฐ์ตู้เย็นขึ้นมาครั้งแรก ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อใช้เก็บเนื้อสัตว์และอาหารหลายชนิดไว้ได้โดยไม่บูดเน่า ด้วยการขุดหลุมลงในพื้นดิน กรุผนัง ปูพื้นหลุมด้วยท่อนซุงที่หุ้มด้วยฟางข้าวอย่างแน่นหนาจนรอบหลุม แล้วจึงไปขนย้ายหิมะขาวโพลนบนยอดเขา ลงมาใส่ลงในหลุมนั้น กดบีบหิมะให้แน่นจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง ก้อนหิมะน้ำแข็งภายในหลุมสามารถคงความเย็น คงรูปได้นานหลายเดือนดังนั้น หลุมนี้จึงเป็นหลุมเย็นไว้เก็บเนื้อสัตว์และอาหารต่าง ๆ เป็นการถนอมอาหารไว้กินในยามยาก ในปี ค.ศ.1913 จากความคิดดังกล่าว ตู้เย็นรุ่นแรกสำหรับใช้ในครัวเรือนก็ถูกผลิตออกมา มีชื่อว่า "โดเมลรี" ที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ตู้เย็นโดเมลรีนั้นทำด้วยไม้ มีเครื่องทำความเย็นอยู่บนตัวตู้

ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/29751.html

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

ดวงประจำวันที่ 21/9/53


พยากรณ์วันอังคารที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๐

ทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศใต้จะให้ลาภ ทิศเหนือเป็นกาลกิณี โดยรวมวันนี้ นำยวดยานใหม่ออกจากอู่ได้ดี เหมาะแก่การเปิดร้านศิลปะ ออกแบบ งานบันเทิง จะไปได้ดี การเจรจา ตกลงต่อรองต่างๆ ยังส่ง ผลให้เป็นบวก การเซ็นสัญญาซื้อขาย การซื้อมาขายไปจะก้าวหน้า มีโชคทั่วๆ ไป จะสมหวัง จะเดินทางไปไหนมาไหนต้องระวังอุบัติเหตุทั้งทรัพย์สินและยวดยานพาหนะ เกิดวันพุธห้ามทำการมงคลในวันนี้ เพราะวันอังคารเป็นวันกาลกิณีของคนเกิดวันพุธ วันนี้ทำการมงคลได้ดีมาก สีที่ไม่ถูกโฉลกวันคือ สีเหลือง หรือขาวนวล

  • อาทิตย์
    การงาน งานที่ได้รับจะช่วยให้คุณมีกำลังใจมากขึ้น อารมณ์ที่คุณเก็บกดไว้จะปลดปล่อยได้เพราะออกกำลังกับงานที่ทำ จะพัวพันนัวเนียกับผู้คนหลายระดับ ต้องระวังคำพูด การเงิน จะจับจ่ายอย่างลงตัวด้วยผลของงานที่พอใจ ความรัก จะถูกอกถูกใจใครอย่าออกหน้านัก จะเสียศูนย์ได้
  • จันทร์
    การงาน จะได้รับมอบหมายงานที่ต้องละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น ผู้ใหญ่จะสนับสนุน อย่าเพิ่งท้อถอย จะร่วมกิจกรรมที่มีคนมาชักชวนได้ชื่นบาน การเงิน มีรายรับหลายทาง แต่อย่างร่วมหุ้นกับใครจะผิดใจกันได้ ความรัก รักคุณมีพลังจะกดดันให้อีกฝ่ายสงบลง
  • อังคาร
    การงาน อุปสรรคต่างๆ จะคลี่คลาย จะติดต่อเจรจาเรื่องผลประโยชน์ใดๆ คุณเจอแต่คนเห็นผลตอบแทนเป็นเรื่องใหญ่ ผู้ใหญ่จะพอให้พึ่งพาได้ อาจต้องซ่อมเครื่องใช้ส่วนตัวหรือยานพาหนะ การเงิน และความรัก สงบปากสงบคำเสียบ้าง เรื่องต่างๆ จะได้ไม่พังเพราะคุณเอง
  • พุธ
    การงาน คุณกำกับชีวิตคุณอย่างตามอารมณ์ ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดให้โปร่งใส จะได้หัวใจจากคนรอบข้าง แต่อย่าสร้างอารมณ์หงุดหงิดจะผิดใจกันได้กับเพื่อนร่วมงาน การเงิน เครดิตยังมีเจรจาเรื่องเพิ่มทุนจะได้ ความรัก หัวใจไร้ทิศทางจะพาลให้คุณเป็นคนไม่จีรังกับใครสักคน
  • พฤหัสบดี
    การงาน การคาดเดาที่ไม่มีเป้าหมายชัดเจน จะทำให้คุณเสียเปรียบได้ หรือได้ไม่คุ้มเสียหุ้นส่วนหรือเพื่อนคู่คิดจะช่วยคิดให้คุณได้สำเร็จ การเจรจาต่อรอง จะมีผลต้องมีตัวช่วยหลายขั้นตอน การเงิน อาจมีเหตุให้ต้องทำใจกับรายรับที่ไม่แน่นอน ความรัก รักจะเป็นพิษถ้าคุณคิดด้านลบ
  • ศุกร์
    การงาน ปัญหาต่างๆ จะมีคนมาร่วมด้วยช่วยกันแก้ปัญหา ในขณะที่คนเขาค่อยเป็นค่อยไปแต่คุณกลับวิ่งไม่ได้หยุดกับงานที่รับผิดชอบ ความคิดอ่านบรรเจิดควรฉกฉวยให้เป็นประโยชน์ก่อนหลงลืม การเงิน มีโชคลาภเข้ามาเป็นระยะ ความรัก ใช้สติให้มาก จะเผลอไผลไปกับคนหลายใจ
  • เสาร์
    การงาน จะขัดใจกับงานที่แก้ไม่จบสักทีเพราะปัญหาซ้ำซ้อนจุกจิกกับหุ้นส่วนและเพื่อนร่วมงาน จะทำให้คุณต้องเข้มแข็งแข่งกับเวลา แต่คุณจะผ่านได้ การเงิน รายรับที่มีได้ประโยชน์เต็มที่ทั้งสิ้น ความรัก จะสบตาตอกย้ำความในใจกับใคร จะแฮปปี้
  • ที่มา:http://tnews.teenee.com/etc/55821.html

    รู้ทันกลโกงเครื่องสำอางในอินเตอร์เน็ต

    รู้ทันกลโกงเครื่องสำอางในอินเตอร์เนต



    ในยุคสังคมไซเบอร์เฟื่องฟู กิจกรรมทุกอย่างดำเนินได้ด้วยอินเตอร์เนต เพียงปลายนิ้วสัมผัสก็สามารถทำให้คุณได้เห็นหน้าพูดคุยกับคนที่อยู่ไกลถึงอีกฟากของโลกได้อย่างง่ายดาย การสื่อสาร ค้นหาข้อมูล หรือทำธุรกิจต่างๆ ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือเปลืองค่าใช้จ่ายอีกต่อไป นับได้ว่าสะดวกสบายมากทีเดียวค่ะ


    ในปัจจุบันมีธุรกิจเครื่องสำอางที่หันมาเอาดี ประชาสัมพันธ์กันในอินเตอร์เนตมากเพราะประหยัด ไม่มีค่าเช่าหน้าร้าน สามารถอัพเดทข้อมูลต่างๆได้จำนวนมาก เราจะเห็นได้ว่าธุรกิจนี้เติบโต ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว แต่ก็น่ากังวลพอๆ กับการขยายข้อมูลของการหลอกลวง...


    ผู้บริโภคจะรู้ได้อย่างไรว่าสินค้าชนิดนี้ดีจริงเหมือนที่โฆษณา ?
    ซื้อของทางอินเตอร์เนตจะได้ของจริงหรือเปล่า?
    มั่นใจได้อย่างไรว่าไม่ถูกหลอก
    ?

    มีแต่คนรีวิวว่าใช้แล้วดี ดีจริงหรือ หน้าม้าหรือเปล่า จะรู้ได้อย่างไร
    ?

    ของถูก ของดี หรือแจกฟรีไม่มีในโลก



    วันนี้ เรามีคำตอบ มาช่วยให้ทุกท่านไม่หลงกลตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพในวงการไซเบอร์ และฉลาดในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ด้วยค่ะ

    1. ผู้บริโภคจะรู้ได้อย่างไรว่าสินค้าชนิดนี้ดีจริงเหมือนที่โฆษณา
    ?

    คำตอบง่ายๆ คือ ไม่มีใครตอบได้ว่าสินค้านั้นดีจริง จนกว่าจะได้ลองใช้ด้วยตนเองค่ะ เพราะผิวหน้าของแต่ละคนแตกต่างกัน เพื่อนเราใช้ดี เรามาใช้ตามเพื่อนอาจไม่ดีแบบที่เพื่อนบอกก็ได้ ยี่ห้อที่เพื่อนแพ้เรามาใช้งานอาจหน้าเด้งไปเลยก็มี ดังนั้น ความคาดหวังว่าจะใช้ให้เห็นผลดี ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพผิวหน้าของแต่ละคน การใช้ครีมอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง วิธีการใช้งานที่ถูกต้อง


    พึงระลึกอยู่เสมอว่า เครื่องสำอางที่ดี คนขายที่มีจรรยาบรรณจะไม่ใช้คำทำนองว่า หน้าขาวใน7วัน” , “รักษาสิว ฝ้า หายขาด” ,“เปลี่ยนสีผิวถาวร , ได้ผล100 %” เนื่องจากเป็นลักษณะต้องห้ามประกาศโฆษณาของทาง อย.มีความผิดตามกฏหมาย เพราะเครื่องสำอางไม่ใช่ยาจึงไม่มีผลในการรักษา และในกรณีเปลี่ยนสีผิวก็ไม่เป็นความจริงเพราะพื้นฐานผิวคนเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงเมลานินที่มาแต่กำเนิดได้ โฆษณาดังกล่าวจึงเข้าข่ายหลอกลวง

    2. ซื้อของทางอินเตอร์เนตจะได้ของจริงหรือเปล่า
    ?
    จะมั่นใจได้อย่างไรว่าไม่ถูกหลอก?

    ปัจจุบันมีมิจฉาชีพที่ใช้ช่องทางทางอินเตอร์เนตในการหลอกลวงอยู่มาก เราจะพบเห็นข่าวได้บ่อยๆ ว่ามีผู้ถูกหลอกให้ซื้อสินค้าทางอินเตอร์เนต เมื่อโอนสตางค์เสร็จกลับไม่ได้ของที่สั่งซื้อ โทรตามติดต่อไม่ได้ ปิดเว็บหนีไป หรืออาจได้ของที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ตรงกับที่ตกลงไว้ แล้วไม่รู้จะตามหาคนขายที่ไหน สิ่งที่สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจสั่งซื้อได้ คือ

    2.1 ให้ดูความน่าเชื่อถือว่าเว็บไซท์นั้นมีคนเข้ามาใช้งานนานหรือยัง ดูจำนวนคนเข้า วันที่เปิดใช้งานที่หน้าแรก (เว็บไซท์ขายของออนไลน์มาตรฐานทั่วไปจะมีข้อมูลเหล่านี้แสดงอยู่) บางเว็บไซท์มีรูปผู้ใช้งานจริง มีการถามตอบอัพเดทตลอดทุกวัน ก็แสดงถึงความนิยมของผู้ใช้งานและความใส่ใจจากคนขาย หากเป็นเว็บที่ไม่มีการอัพเดทข้อมูล ข้อมูลที่อัพเดทล่าสุดแสดงไว้เมื่อหลายเดือนก่อนก็ให้สันนิษฐานว่าไม่มีการดูแลจากเจ้าของเว็บหรือคนขายไซท์เลย ( แต่ก็อย่าประมาทนะจ๊ะ เพราะมีโปรแกรมเปลี่ยนตัวเลขจำนวนคนเข้าให้ดูเยอะๆน่าเชื่อถือได้เหมือนกัน)


    2.2 ปัจจุบันเว็บไซท์ที่ทำการค้าจดทะเบียน ขายของออนไลน์อย่างถูกต้อง มีความน่าเชื่อถือต้องลงทะเบียนเปิดเผยข้อมูลตัวตนในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ อาจสังเกตที่เครื่องหมายถูก trust ที่ปรากฏอยู่ที่หน้าเว็บไซท์ หรืออาจลองสอบถามข้อมูลว่าคนขายนั้นมีการจดทะเบียนการค้าพาณิชย์ถูกต้องหรือไม่ ขอดูเอกสารราชการผ่านทางอีเมลเพราะหากเขามีความจริงใจแก่ผู้บริโภคก็จะจดทะเบียนแสดงข้อมูลตัวตนได้ และไม่กลัวที่จะแสดงเอกสารให้คุณทราบ หรืออาจสอบถามว่ามีการจดทะเบียนบริษัทหรือไม่ เพราะผู้ขายที่มุ่งทำการค้าอย่างจริงจัง มีที่อยู่หลักแหล่งเชื่อถือได้แน่นอน จะจดทะเบียนบริษัท ทำให้ผู้ซื้อมั่นใจในกรณีที่ต้องการสอบถามปัญหาการใช้งานก็สามารถติดตามได้ไม่ยาก หากเว็บไซท์ใดไม่ลงชื่อที่อยู่บริษัท หรือที่อยู่ประกอบการเลย มีแต่เบอร์มือถือก็สันนิษฐานได้ว่าอาจไม่มีตัวตนอยู่จริง และไม่มีความจริงใจในการเปิดเผยแหล่งที่อยู่ของตน


    2.3สินค้าที่อ้างว่าใช้ดี เห็นผลไว เป็นคนละเรื่องกับการมี อย. ถามคนขายเลยค่ะว่ามี อย ไหม เครื่องสำอางทุกตัวแม้แต่ส่วนผสมสมุนไพรก็ต้องมี อย.ค่ะ ให้ตรวจสอบก่อนทุกครั้งว่าสินค้าผ่านการจดแจ้ง มีเลขทะเบียน อย จริงหรือไม่ เข้าไปดูตัวอย่างวิธีค้นว่าเครื่องสำอางไหนที่ได้รับอย.จากเว็บไซท์ของ อย.เอง ได้ที่ http://www.fujicream.com/customize-ความมั่นใจกับฟูจิ(full)-87826-1.html เพื่อความแน่ใจ เชื่อตัวเอง เชื่อ อย. อย่าเชื่อโฆษณาหรือบุคคลกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานค่ะ


    3. มีแต่คนรีวิวว่าใช้แล้วดี ดีจริงหรือ หน้าม้าหรือเปล่า จะรู้ได้อย่างไร?

    ต้องยอมรับว่ากระแสความปรารถนาดี ใช้ดีแล้วบอกต่อ การแสดงตัวตนความเป็นเพื่อน เพื่อ ถาม-ตอบ ในเวบบอร์ดกำลังเป็นที่น่าเชื่อถือ และนิยมใช้เพื่อความ เนียนมากกว่าการแม่ค้าจะซื้อแบนเนอร์ พื้นที่โฆษณากันแบบตรงๆ เมื่อคุณพบเห็นข้อความแสดงความหวังดี หรือบอกต่อ ต้องใช้วิจารณาฟังความมากๆ หลายๆ ด้าน อย่าเพิ่งปักใจเชื่อคำพูดของการถามตอบในเวบบอร์ด เพราะนั่นอาจทำให้คุณกำลังตกเป็น เหยื่อ อยู่ก็ได้


    3.1 มีการตั้งกระทู้ มักมีคนเข้ามาตอบกระทู้บอกว่า เมื่อก่อนหน้าเรามีสิวเยอะเลย แต่ใช้อันนี้แล้วดีหายเกลี้ยง ลองโทรมาคุยกะเราสิ…”


    3.2 เมื่อมีการถามถึงเครื่องสำอางยี่ห้ออื่นๆ ที่ตนเองไม่ได้ขาย หรือที่ตนเองไม่ชื่นชอบ ไม่อยากเชียร์ จะใช้วิธีตอบว่า ใช้แล้วไม่ดี ใช้...ดีกว่า” , “อย่าใช้เลย ยี่ห้อนี้ชื่อเสียงไม่ดีนะ” , “ขอเตือนด้วยความหวังดีว่าอย่าเสี่ยงดีกว่าหรือแม้แต่สร้างกระแสด้วยการโพสหัวข้อโจมตีซ้ำๆ ให้คนเข้าใจว่าเครื่องสำอางยี่ห้อนั้นไม่ดีจริงๆ มีการแทคทีมกันถามตอบ ชงเรื่องแบบเป็นกระบวนการ คนหนึ่งถาม อีกคนหนึ่งเข้ามาตอบ อีกคนหนึ่งอาจทำทีเข้ามากล่าวหาให้เสียหาย ดิสเครดิต ในระยะเวลาใกล้กัน และเมื่อตรวจสอบดู ip address อาจพบว่ามาจากหน่วยงานเดียวกัน หรือปลอมไอพีเอา


    3.3 สำหรับเวบบอร์ดใหญ่ๆที่มีระบบสมาชิก หากสงสัยชื่อเมมเบอร์ใดที่มักตอบกระทู้โจมตีเรื่องใดเป็นพิเศษ คุณอาจเสริชชื่อเมมเบอร์คนนั้นตามกูเกิ้ลดู บางครั้งจะพบว่าชื่อสมาชิกนั้นๆ ขายหรือมีความเกี่ยวข้องกับเครื่องสำอางยี่ห้ออื่นอยู่ตามเว็บอื่น เท่านี้คุณก็ทราบแล้วว่าสาเหตที่เขาโพสเชียร์ยี่ห้อใด หรือรีวิวยี่ห้อใดเป็นพิเศษนั้นเพราะ...อะไร หรือบางคนอาจไม่ได้เป็นแม่ค้าแต่เคยใช้เครื่องสำอางนั้น(แต่ใช้ถูกของปลอมแล้วหน้าพัง) ทำให้เกิดอคติเหมารวมว่าเครื่องสำอางนั้นไม่ดี แท้ที่จริงแล้วตัวเองไปซื้อของปลอมราคาถูกมาใช้ หรือแม้แต่ทำไม..เขาจึงจงเกลียดจงชังใส่ร้ายอีกยี่ห้อเสียนี่กระไร... ก็เพราะเป็นคู่แข่งมาแกล้งกันนี่ไง เป็นต้น


    4. จำไว้ว่าของถูก ของดี ของฟรีไม่มีในโลก


    4.1 อย่าใช้เครื่องสำอางที่ราคาถูกกว่าท้องตลาดเกินจริง ยกตัวอย่าง เช่น มีเว็บไซท์กล่าวอ้างว่าสามารถนำเข้ามาได้ถูกกว่าเคาท์เตอร์ตามห้างราคาถูกกว่าครึ่งถึงครึ่ง หรือกลุ่มคนที่อ้างว่าหิ้วของมาขายเองก็ใช่ว่าจะเป็นของแท้เสมอไป ตรวจสอบความน่าเชื่อถือก่อนว่าสามารถไว้วางใจได้หรือไม่ จำไว้ว่าไม่มีใครขายของขาดทุน เขาขายคุณราคาไหน ต้นทุนเขาต้องถูกกว่าที่ขายให้คุณอยู่แล้ว หากว่างอาจลองไปเดินหาข้อมูลแหล่งขายของปลอมแถวตลาดโรงเกลือ ตลาดบินไทยดอนเมือง ที่ทางตำรวจและ อย.ประสานงานจับของละเมิดลิขสิทธิ์บ่อยๆ จะพบว่าของที่คุณเข้าใจว่านำมาจากเมืองนอก อาจกวนครีมผสมกันเองแถวนี้แหละค่ะ


    4.2 ของดี นั้นดีจริงไหม ดีเว่อร์ขนาดทาหน้าแล้วสิวยุบใน 1 วัน หน้าขาวภายใน 3วัน 7 วัน ครีมอะไรจะดีอย่างนี้... ฝ้าที่เคยเป็นก็หาย หน้าขาวเร็วสมใจ ราคาสบายกระเป๋า ซื้อครีมกระปุกเป็นพันเป็นหมื่นยังไม่ขาวไวเท่ากับครีมตัวนี้เลย เจอแบบนี้ให้ระวังนะคะ ลองเลิกใช้ครีมตัวนั้นสิคะ เลิกสัก10-15 วัน อาการจะเริ่มออกชัดเจน คือ หน้าดำ สิวขึ้น มีผื่นแดงคัน พวกนี้คืออาการของการติดสารอันตรายพวกปรอท ไฮโดรควินโนน สเตียรอยด์ พวกนี้ทำให้หน้าขาวไว แต่หยุดใช้ไม่ได้ อาการออกค่ะ ต้องตกเป็นทาสเครื่องสำอางเถื่อนผิดกฏหมายแถมใช้ไปหน้าพังถาวรรักษาไม่ได้ ไม่คุ้มกับของราคาถูกเลยค่ะ

    คำกล่าวอ้างว่าของดี ของถูกอย่าเชื่อจนกว่าจะมีหลักฐานยืนยัน เช่น ตรวจสอบ อย ได้ มีช่องทางการจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ ชัดเจน (ไม่ใช่ขายแผงลอยตามตลาดนัดแบกะดิน) มีcall center บริการตลอดเวลา มีหน้าร้านแบบเปิดเผยในห้างสรรพสินค้า ขายในร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ (เพราะกว่าห้างจะให้นำไปวางขายได้ต้องมีกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดมากหลายชั้นอยู่แล้ว ก็เป็นความมั่นใจอย่างหนึ่งว่ามีคนตรวจสอบรับรองให้เราระดับนึงแล้วว่าครีมปลอดภัย) หรือ มีสาขาที่ถูกต้องลงทะเบียนอย่างเป็นทางการตรวจสอบได้ว่าขายที่ไหนบ้าง มีสำนักงานใหญ่ มีเบอร์โทร 02 ไม่ใช่เบอร์มือถือเติมเงินทั่วไป ประสานงานได้ชัดเจน ทำตามกฏและให้ความร่วมมือกับหน่วยงานราชการ


    จำไว้ว่าแม่ค้าเขาเห็นเรารู้ และตรวจสอบเองเป็นก็จะไม่กล้าหลอกเรา เพราะไม่ใช่หมูให้เชือดกันได้ง่ายๆ ดังนั้นใช้เกณฑ์คร่าวๆ ตามนี้ในการคุ้มครองสิทธิให้ตัวคุณเองนะคะ เพื่อจะได้มีใบหน้าที่ขาวใส ไร้สิว มีสุขภาพผิวที่ดีแบบปลอดภัย ไม่เจอใครหลอกค่ะ ^ ^

    ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/29574.html


    วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

    การตรวจ DNA เพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา

    ทำไมการตรวจ DNA จะยืนยันความสัมพันธ์ของคนเป็นพ่อกับลูกได้ วิทยาศาสตร์มีคำตอบค่ะ


    การตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา หรือที่เรียกว่า DNA paternity testing เป็นเทคนิคการตรวจดีเอ็นเอ ชนิด หนึ่ง ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน จุดประสงค์หลักเพื่อพิสูจน์ความเป็นพ่อ-ลูก ในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้น และต้องการหลักฐานทางพันธุกรรมเข้ามาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ การตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา อาศัยหลักการที่ว่า ดีเอ็นเอซึ่งเป็นสารพันธุกรรมของลูก ครึ่ง หนึ่งจะมาจากพ่อ และอีกครึ่ง หนึ่งมาจากแม่


    การตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา อาจใช้วิธีตรวจจากเลือด หรือตรวจจากเซลล์เยื่อบุกระพุ้งแก้มก็ได้ โดยนำสิ่งส่งตรวจไปที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อทำการสกัดดีเอ็นเอ ผ่านขั้นตอนกระบวนกรรมวิธีทำให้ดีเอ็นเอเป็นสารบริสุทธิ์ จากนั้นเตรียมดีเอ็นเอที่สกัดได้ นำมาทำการทดสอบกับชุดทดสอบที่เรียกว่า DNA markers จำนวน 16 ชุด ผลที่ได้จะเป็นแบบแผนสารพันธุกรรมของสิ่งส่งตรวจ เมื่อนำแบบแผนสารพันธุกรรมของสิ่งส่งตรวจทั้งหมดมาเปรียบเทียบกันแล้ว ทางห้องปฏิบัติการสามารถใช้การวิ เคราะห์ทางสถิติคำนวณความน่าจะเป็น ซึ่งเรียกว่า probability of paternity




    ความแม่นยำของการตรวจดีเอ็นเอ

    การตรวจดีเอ็นเอในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตราฐานทุกแห่ง พบว่ามีความแม่นยำมากถึงร้อยละ 100 ในทางปฏิบัติจะพิจารณาความแม่นยำของการทดสอบ ร่วมกับปัจจัยทางชีวภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผลการทดสอบมีความแม่นยำและความน่าเชื่อถือสูงมาก ในบางห้องปฏิบัติการอาจมีการทดสอบแบบแผนสารพันธุกรรมจากสิ่งส่งตรวจของบุคคลที่สามเพิ่มเติม แต่ในปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว การตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดาอาจไม่ได้ตรวจเพียงวิธีเดียว เช่นเดียวกับหลักการตรวจวิ เคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทั่วไป ในกรณีที่ต้องการทดสอบความเป็นพี่น้องหรือลูกหลานเว้นชั่วอายุคน พบว่าด้วยเทคนิคดังกล่าวจะความแม่นยำประมาณร้อยละ 90


    การตรวจดีเอ็นเอจากเซลล์เยื่อบุช่องปาก

    ารตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา โดยการตรวจดีเอ็นเอจากเซลล์เยื่อบุช่องปาก จะให้ผลการทดสอบที่มีความแม่นยำเช่นเดียวกับการตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา โดยการตรวจเลือด อย่างไรก็ตาม อาจพิจารณาตรวจดีเอ็นเอจากเซลล์เยื่อบุช่องปาก ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจเพิ่งได้รับเลือดมา หรือในกรณีผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ สำหรับการตรวจดีเอ็นเอนั้น เด็กจะมีอายุเท่าใดก็ได้ ผลการตรวจจะเหมือนกัน ไม่ขึ้นกับอายุ


    การแปลผลการทดสอบ ประกอบไปด้วยข้อมูล 3 ส่วนที่สำคัญ

    1. เป็นแบบแผนสารพันธุกรรม หรือที่เรียกว่า DNA profile
    2. เป็นค่าความน่าจะเป็น เรียกว่า Probability of Paternity
    3. เป็นดัชนีทางสถิติ เรียกว่า Combined Paternity Index (CPI)
    ในทางปฏิบัติ การแปลผลการตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด ในกรณีที่ Probability of Paternity เป็นศูนย์ ก็แสดงว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูก และในกรณีที่ Probability of Paternity เท่ากับร้อยละ 99.9 แสดงว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกแน่นอน

    โดยทั่วไปการตรวจดีเอ็นเอใช้เวลานาน 5-7 วัน ในต่างประเทศห้องปฏิบัติการที่ตรวจได้เร็วที่สุด กระทำได้ภายใน 3 วัน



    ในการตรวจดีเอ็นเอนั้นสามารถทำได้ 2 วิธีด้วยกัน กล่าวคือ

    1.เทคนิคดั้งเดิมอาร์เอฟแอลพี (RFLP,Restriction Enzyme Fragment Length Polymorphism) ซึ่งค้นพบโดย เอ็ดเวิร์ด เซาร์เทอน (Edward Southern) นักเคมีชีวภาพ ชาวสก็อตแลนด์ ในช่วงทศวรรษที่ 1970

    2.เทคนิค พีซีอาร์ (PCR,Polymerase Chain Reaction)

    เป็นเทคนิคสำหรับเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย
    Kary Mullis และคณะ แห่งบริษัท Cetus Corporation ในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๘๐ ข้อดีของเทคนิคนี้ คือ สามารถเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอได้อย่างเฉพาะเจาะจง โดยมีขั้นตอนการทำงานน้อย และใช้เวลาไม่นาน PCR เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญมาก โดยสามารถนำไปใช้ได้กับงานวิจัยทางชีวโมเลกุล และพันธุวิศวกรรม เช่น การเพิ่มปริมาณยีน (gene cloning) การวิเคราะห์ลำดับเบสของยีน (gene sequencing) การสร้าง DNA probe และการวิจัยประยุกต์ เช่น การสร้างยีนกลายพันธุ์ (PCR based mutagenesis) การศึกษาการแสดงออกของยีนจาก mRNA การตรวจหาดีเอ็นเอของไวรัสซึ่งเป็นสาเหตุของโรค เป็นต้น

    หลักการพื้นฐานของ PCR คล้ายกับการจำลองตัวเองของดีเอ็นเอโดยใช้ดีเอ็นเอสายหนึ่งเป็นต้นแบบในการสร้างดีเอ็นเอสายใหม่ เอนไซม์ ดีเอ็นเอโพลีเมอเรส และอุณหภูมิที่ทำให้ดีเอ็นเอแยกจากกันหรือจับคู่กันใหม่ ซึ่งปฏิกิริยา PCR
    โดยจะทำหมุนเวียนต่อเนื่องกันไป ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมของแต่ละขั้นตอน

    ทั้งสองเทคนิคใช้วิธีการแยกลำดับดีเอ็นเอที่แตกต่างกัน และบันทึกไว้ในแบบที่สามารถมองเห็นได้


    ซึ่งเทคนิค RFLP จะสามารถแสดงผลได้ชัดเจนกว่า เทคนิค PCR แต่ว่าต้องใช้จำนวนตัวอย่างมากกว่า และใช้ระยะเวลานานกว่ามาก ซึ่งเทคนิค RFLP ใช้ตัวอย่างถึง 20–50 นาโนกรัม และใช้ระยะเวลานานหลายสัปดาห์ เทคนิคนี้จะให้แผนที่ DNA ขึ้นมาคล้ายบาร์โค๊ด

    ในขณะที่เทคนิค PCR ใช้ตัวอย่างเพียง 2 นาโนกรัม และใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ใช้กันทั่วไปเพราะสามารถทำเป็นเครื่องตรวจวิเคราะห์ DNA อัตโนมัติได้ การพิสูจน์บุคคลจากสึนามิโดยทีมงานคนไทยก็ใช้วิธีนี้
    ทั้งนี้การกำหนดว่าจะใช้เทคนิคใดขึ้นอยู่กับตัวอย่างที่ได้มา ถ้าหากเป็นตัวอย่างที่คุณภาพดีและใหม่ ผู้วิจัยมักจะใช้เทคนิค RFLP ซึ่งจะได้ผลที่ชัดเจนแน่นอนกว่า

    ในการแปลและวิเคราะห์ข้อมูลของดีเอ็นเอนั้นจำเป็นต้องใช้วิธีการทางสถิติ พันธุกรรมประชากร และทฤษฎีความน่าจะเป็นมาประยุกต์ใช้กับผลการวิเคราะห์ที่ได้จากห้องทดลอง โดยหลักการแล้วนักวิจัยจะทดสอบว่าตัวอย่างที่ได้จากคนที่ 1 กับ คนที่ 2 ซึ่งอาจจะเป็นพ่อกับลูกกันมาเปรียบเทียบโดยการสุ่มตัวอย่างกับประชากรทั่วไป ซึ่งโดยหน่วยวัดโดยทั่วไปแล้วจะแสดงให้เห็นถึง 1 ต่อ 5,000,000 คน ซึ่งหมายความว่า ในจำนวนคน 5,000,000 คนนั้น มีเพียงสองตัวอย่างนี้เท่านั้นที่มีลักษณะทางพันธุกรรมดีเอ็นเอเหมือนกัน ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ว่ามีโอกาสเป็นพ่อ-ลูกกัน ซึ่งในขณะที่การตรวจพิสูจน์โดยตัวอย่างเลือดที่ทำกันโดยทั่วไปนั้นสามารถบอกได้เพียงหน่วย 1 ต่อ 200 เท่านั้น

    โดยสรุปแล้วการตรวจพิสูจน์ความสัมพันธ์ของบุคคลทางพันธุกรรมดีเอ็นเอนั้น
    เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งเป็นวิธีการตรวจหาความจริงอย่างมีหลักการและขั้นตอนที่รัดกุม จึงสามารถอ้างได้ว่าเป็นหลักฐานแบบหนึ่งซึ่งสามารถยืนยันถึงความสัมพันธ์ของบุคคลได้เป็นอย่างดี

    การสรุปผลต้องไม่มีข้อขัดแย้งตามเกณฑ์ คือ
    จะต้องตรงกันทั้งสิบตำแหน่ง เช่นในการพิสูจน์ พ่อ - แม่ - ลูก ผลการตรวจที่จะบอกว่า เป็นลูกแน่นอนนั้น ต้องตรวจพบ DNA ของลูกมาจาก พ่อ และแม่ อย่างละ 50% ทั้งสิบตำแหน่ง ตัวอย่าง ผู้ที่มาตรวจ เป็นแขกพาลูกซึ่งโตแล้ว มาตรวจขอพิสูจน์เพียงเพื่อเป็นหลักฐานประกอบในการโอนสัญชาติ ปรากฏว่าผลการตรวจออกมาแปลก เพราะลูกมี DNA ไม่เหมือนฝ่ายชายเพียงหนึ่งในสิบตำแหน่ง พอคุณหมอลองขยายการตรวจออกไปอีกก็พบว่า ลูกมี DNAต่างกับพ่อ เพียงสองใน 16 ตำแหน่ง ซึ่งแสดงว่าไม่ใช่พ่อแน่นอนค่ะ แต่คงใกล้เคียงพ่อมากๆทีเดียวค่ะ เพราะส่วนใหญ่ คนที่ไม่ใช่พ่อ มักจะมี DNA แตกต่างกัน 5-6 จุดขึ้นไป

    **มาตรฐานสากลในการตรวจ DNA ควรดำเนินการตรวจอย่างน้อย 10 ตำแหน่งขึ้นไป อเมริกาได้กำหนดให้ตรวจอย่างน้อย 13 ตำแหน่งและกำลังจะขยับไปเป็น 16 ตำแหน่ง สำหรับประเทศไทยหน่วยงานที่รับผิดชอบบางหน่วยงานตรวจเพียง 1 ตำแหน่ง แต่บางหน่วยงานใช้ 6 ตำแหน่ง ทำให้มีปัญหาในเรื่องของความเชื่อถือ

    **ปกติการตรวจ DNA สามารถตรวจได้จากเลือด โดยมีวิธีการตรวจเรียกว่า Electrophoresis มีการตรวจโดยการเทียบรหัสทางพันธุกรรมวัตถุประสงค์ของการตรวจเช่นดูว่าเป็นพ่อแม่ลูก หาความผิดปกติของยีนหรือโรคบางชนิด หาความผิดปกติของทารกในครรภ์ เป็นวิธีการตรวจที่ยืนยันรหัสทางพันธุกรรมได้ดีในขณะนี้

    สามารถตรวจได้ที่กรุงเทพ. ก็มีดังนี้

    1.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม
    2.สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานแพทย์ใหญ่ สำนักงานกรมตำรวจแห่งชาติ
    3.ภาควิชา นิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
    4.หน่วยมนุษย์พันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในส่วนของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมแต่ควรสอบถามและนัดล่วงหน้าถึงช่วงเวลาที่ตรวจได้ก่อนไป

    หน่วยมนุษย์พันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ตำแหน่งสถานที่
    คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
    270 ถนนพระราม 6 แขวง ทุ่งพญาไท เขต ราชเทวี กรุงเทพฯ
    อาคาร 1 ชั้น 1 หลังลิฟท์ สีแดง
    โทร. 02- 201-1145, 02- 201-1186 FAX : 02- 201-1145
    เปิดบริการ จันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.30 น.- 14.00 น.
    บุคคลที่ต้องการตรวจจะต้องเดินทางไปตรวจพิสูจน์ ณ.หน่วยนั้นๆตั้งอยู่เท่านี้ และพร้อมกับถ่ายรูปและทำประวัติการตรวจ เนื่องจากทางหน่วยไม่รับการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างทางไปรษณีย์ เพื่อป้องกันผลผิดพลาดและเกิดเป็นคดีความฟ้องร้องภายหลังได้ ทราบผลการตรวจภายใน 1 เดือน

    หลักฐานที่ต้องใช้คือ
    1.ใบยินยอมให้ทำการตรวจพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางมารดาบิดาและบุตร
    2.สำเนาทะเบียนบ้านพร้อมตัวจริง ทั้งชายและหญิงรวมไปถึงบุตร
    3.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมตัวจริง ทั้งชายและหญิง
    4.สูติบัตร ( บุตร)
    5.หมายศาล (หากมีคำสั่งของศาลให้ดำเนินการตรวจ)

    ค่าตรวจวิเคราะห์ (เฉพาะที่ส่งตรวจที่ หน่วยมนุษย์พันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ส่งตรวจที่อื่นๆราคาอาจแตกต่างไปจากนี้)

    - เพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางมารดาและบุตร ประมาณ 5,000 บาท
    - เพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางบิดา,มารดาและบุตร ประมาณ 6,500 บาท

    ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/29532.html

    เทคโนโลยี 3G คืออะไร



    3G โครงข่ายล้ำชีวิต


    3G หรือ Third Generation

    เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 อุปกรณ์การสื่อสารยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ Walkman, กล้องถ่ายรูป และ อินเทอร์เน็ต

    3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น


    ลักษณะการทำงานของ 3G เมื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้น


    เช่น บริการส่งแฟกซ์, โทรศัพท์ต่างประเทศ ,รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่ ,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสาร, ดาวน์โหลดเพลง, ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ เทคโนโลยี


    3G น่าสนใจอย่างไร

    จากการที่ 3G สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่


    เช่น จอแสดงภาพสี, เครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกม, แสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น


    3G ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดย โทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพา, วิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ), แก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์, ข่าวบันเทิง, ข้อมูลด้านการเงิน, ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว “Always On”


    คุณสมบัติหลักของ 3G คือ

    มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล

    ซึ่งการเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3G สำหรับ 3G อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังปรากฏในรูปแบบของอุปกรณ์ สื่อสารอื่น เช่น Palmtop, Personal Digital Assistant (PDA), Laptop และ PC



    ทำไมเป็น 3.9G แต่ไม่เป็น 3G หรือ 4G แล้วเทคโนโลยี 3G กับ 3.9G มันต่างกันอย่างไร

    3.9 จี เป็นการปรับปรุงจาก 3 จีที่จะวิ่งที่ความเร็ว 7.2 เมกะบิต ให้มีความเร็วเพิ่มสูงขึ้นเป็น 42 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ อุตสาหกรรมสื่อสารและโทรคมนาคมจะครึกครื้น มีแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย

    สรุปแล้ว 3.9 จี เร็วกว่า 3 จีหลายเท่าตัว แถมยังแซงหน้าอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือเอดีเอสแอลที่หลายบ้านเชื่อมต่อผ่านโมเด็มด้วย

    3 จีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเมืองไทย เพราะคนยังเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ไม่ทั่วถึง จากปัจจุบันที่มีเพียง 3.2 ล้านเลขหมาย หากขยับมาเป็นบรอดแบรนด์ไร้สายยุค 3 จี และ ครอบคลุมทั่วประเทศจะเป็นช่องทางที่คนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้มาก ขึ้นตามเป้าที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ตั้งเป้าไว้ที่ 80% ของประชากร

    สำหรับคนที่กังวลด้านราคา คงไม่ต้องห่วงว่า 3 จี หรือ 3.9 จี จะราคาแพง เพราะผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินใจ และผู้ให้บริการต้องแข่งขันกันเพื่อให้บริการที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้บริโภค

    ความเร็วที่มากขึ้นของ 3.9 จี จะเป็นโอกาสดีสำหรับผู้บริโภคที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา ที่จะช่วยให้เยาวชนค้นหาข้อมูลมาเสริมการเรียน หรือระบบอี-เลิร์นนิ่ง ขณะเดียวกันก็จะมีแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้เข้ากับความต้องการและการใช้ชีวิตของคนที่หลากหลาย


    ถ้าดูจริง ๆ 3.9 จี ก็ไวกว่า 3 จี อย่างน้อยประมาณ 20 เท่า ซึ่งสาเหตุที่ไม่กระโดดไป 4G นั้นเป็นเพราะ 3.9G นั้นอัพเกรดได้ง่ายกว่าและมีความพร้อมในเชิงพาณิชย์มากกว่า

    ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/29528.html





    วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

    สัญญาลักษณ์ของอียิปโบราณ


    สัญลักษณ์รูปตาที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ ในศิลปะของอียิปต์นั้น เป็นสัญลักษณ์แทนดวงตาของเทพเจ้าของอียิปต์ที่มีความสำคัญมากองค์หนึ่ง นั่นคือ เทพฮอรัส เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าที่มีศีรษะเป็นนกเหยี่ยว มีดวงตาข้างหนึ่งเป็นดวงอาทิตย์ และอีกข้างเป็นดวงจันทร์ เราจึงเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า ดวงตาของฮอรัส (Eye of Horus หรือ wedjat) ที่แทนด้วยดวงตาของมนุษย์ที่มีหางตาเป็นแบบของเหยี่ยว และมีลวดลายสัญลักษณ์รอบๆ ตาซึ่งบางครั้งก็มีหยดน้ำตาด้วย โดยที่คนอียิปต์โบราณจะออกเสียงเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า “udjat”



    ชาวอียิปต์โบราณนับถือดวงตาของฮอรัสเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครอง และยังได้รับการเปรียบว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ สุขภาพดี และความมั่งคั่ง นอกจากนี้ คนโบราณยังเคารพดวงตาของฮอรัสเสมือนตัวแทนของอาณาจักรใหม่อันเป็นนิรันดร์จากฟาโรห์องค์หนึ่งไปสู่ฟาโรห์อีกองค์หนึ่ง โดยชาวอียิปต์เชื่อว่า สัญลักษณ์นี้มีพลังอำนาจมหาศาลและมีเวทมนตร์ที่ส่งผลต่อการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับโลกที่ไม่มีความมั่นคง และแก้ไขสิ่งที่ไม่เที่ยงธรรม รวมทั้งยังเชื่อว่า สัญลักษณ์ของสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้นี้จะช่วยในการเกิดใหม่อีกครั้งด้วย



    ทั้งนี้ ตามตำนานเทพโบราณ เทพฮอรัสเป็นโอรสของเทพโอซิริสและเทพีไอซิส ผู้ปกครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์ โดยมีเทพเซธคอยอิจฉาริษยาและพยายามหาทางแย่งชิงราชบัลลังก์ ต่อมาเทพเซธได้สังหารบิดาของเทพฮอรัสและแยกชิ้นส่วนไปทิ้งตามที่ต่างๆ ทั่วอียิปต์ ทั้งยังควักลูกตาของพระองค์ออกข้างหนึ่ง โดยมีเทพทอต เทพเจ้าแห่งความฉลาดรอบรู้ ผู้สนับสนุนศาสตร์ความรู้และศิลปะแห่งการเขียนเป็นผู้เก็บดวงตานั้นกลับมาและรักษาอย่างอดทนจนพระองค์หายดี และในที่สุดพระองค์ก็สามารถตามเก็บชิ้นส่วนของพระบิดากลับมาได้

    ในปัจจุบัน สัญลักษณ์นี้ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียว บางคนก็สักรูปดวงตาของฮอรัสเพื่อความเป็นสิริมงคลตามความหมายดั้งเดิมของอียิปต์โบราณ ตลอดจนเครื่องประดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แหวน สร้อย ต่างหูก็มีการออกแบบโดยใช้ดวงตาของฮอรัสเป็นต้นแบบอีกด้วย
    ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/29503.html

    ผู้ชายอันตราย!!!!!!!



    เมื่อแจ่มนภารู้จักกับพงศกรใหม่ๆ เธอเห็นว่าเขาเป็นคนหน้าตาดี มีอนาคตไกล มีการศึกษาดีระดับปริญญา เธอรู้สึกทึ่งในตัวเขาและเมื่อเดินไปไหนด้วยกัน เธอก็จะรู้สึกภูมิใจที่เป็นคู่ควงของเขา

    แม้ว่าบางครั้งเธอรู้สึกว่าเขาดูจะหลงๆ ตัวเองอยู่บ้าง เธอก็จะให้อภัยและบอกกับตัวเองว่า ก็คนเราถ้ามีอะไรพร้อมทุกอย่าง ก็น่าจะภาคภูมิใจในตัวเอง และเมื่อพงศกรขอแต่งงานกับเธอ เธอก็รู้สึกวา เธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก

    แต่เมื่อแต่งงานไปได้สักพักเมื่อความ "หลงในรูป" ของเขาได้จางลงไปจากใจของเธอ เธอเริ่มเห็น "ตัวตน" ที่แท้จริงของเขา เธอเพิ่งจะเห็นว่า พงศกร เป็นบุคคลที่ถูกพ่อแม่ตามใจตั้งแต่เล็ก เมื่อเขาต้องการอะไรเขาจะต้องได้ และเขาก็จะคำนึงถึงแต่ความต้องการของตัวเขาเอง มากกว่าความต้องการของเธอ เขาเป็นชายหนุ่มที่ "หลง" ในรูปของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เขาจะใช้เวลาและเงินทองเป็นจำนวนมาก เพื่อตกแต่งและซื้อข้าวของมีราคามาประดับร่างกายของเขา ของทุกชิ้นมักเป็นของที่มียี่ห้องจากต่างประเทศ

    แจ่มนภาเริ่มรู้สึกอึดอัดในการมีชีวิตคู่ร่วมกับเขา ยิ่งกว่านั้นเธอพบว่า ภายใต้เครื่องตกแต่งที่หรูเริ่ดนั้น เขาช่างไม่ใคร่มีอะไรในมันสมองที่จะเทียบเคียงกับเครื่องตกแต่งภายนอกของเขาเสียเลย เธอไม่เข้าใจว่าทำไม เธอจึงไม่เห็นสิ่งนี้ก่อนแต่งงานกับเขา

    ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่กำลังเป็นปัญหาสำหรับเธอก็คือ เขามักชอบที่จะมีเพื่อนชายมาหน้าหลายตา มีบางคนเคยเตือนเธอว่า เขาเป็นคนที่ชอบทั้ง 2 เพศ เธอฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ขณะนี้เธอเริ่มไม่มั่นใจและรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำทั้งเป็น

    เรื่องของแจ่มนภา เป็นเรื่องที่เคยเกิดแล้วกับผู้หญิงหลายคน ถ้าเราจะวิเคราะห์เรื่องของเธอ เราก็คงจะพูดได้คำเดียวว่า เธอไปหลงรักผู้ชาย "อันตราย" หนึ่งในหลายๆ ชนิดที่จะได้กล่าวถึงต่อไป



    ผู้ชายอันตรายที่ผู้หญิงควรจะระวังตัวมีชนิดใดบ้าง ?


    ผู้ชายอันตราย ที่คุณผู้หญิงน่าจะพิจารณาให้ดีก่อนเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย มีหลายประเภทเช่น


    1. ประเภท "สามีคนอื่น"

    ผู้ชายที่มีครอบครัวแล้ว ถือเป็นอันตรายสูงสุดประเภทที่ 1 ที่ผู้หญิงโสดอย่าเผลอตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะชั้นเชิงของเขามีมากมาย ความจัดเจนในการมีครอบครัวแล้ว จะทำให้คุณหลงคารมเขาโดยง่าย คำพูดที่มักจะติดปากพวกผู้ชายภรรยาเผลอเหล่านี้ก็คือ
    "ภรรยาไม่เข้าใจเขา"
    "เขาไม่มีความสุขในครอบครัว"
    "คุณเป็นผู้หญิงที่เข้าใจเขาที่สุด" ฯลฯ
    เมื่อคุณฟังแล้วก็จะเคลิบเคลิ้มนึกว่าจริงทำให้ผู้หญิงบางคนปล่อยใจกายและบางทีทรัพย์สมบัติ ไปให้แก่ผู้ชายเหล่านี้ และก็ได้แต่เฝ้าคอยว่า เมื่อไรเขาจะเลิกกับภรรยา (ตามที่เขาบอกคุณ) แต่ในที่สุดการรอคอยของคุณก็ล้มเหลวเพราะเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกกับภรรยาให้คุณเลย

    ถ้าคุณเจอกับผู้ชายที่มีเจ้าของแล้ว และเขาแสดงทีท่าสนใจคุณพยายามหลีกหนีไปให้ไกล เพราะถ้าเผลอใจยุ่งเข้าไป คุณจะมีแต่ความทุกข์ เพราะไหนจะต้องมาผจญกับความอาฆาตมาดร้ายจาก "เมียหลวง" ของเขา และยังต้องมาผจญกับความรู้สึกผิดที่เกิดกับจิตใจตัวเอง เสียทั้งขึ้นทั้งล่องจริงๆ

    2. ประเภท "ลูกติดแม่"

    ถ้าคุณไปเจอปะเภทนี้ ก็เรียกได้ว่า คุณตายทั้งเป็น เพราะคุณกำลังนำตัวเข้าไปแข่งกับแม่ของเขา (ซึ่งคุณไม่มีทางชนะเลย) ถ้าเป็นผู้หญิงอื่น นังนั่น นังนี่ ก็ยังจะพอฟัดพอเหวี่ยงกันไหว แต่เมื่อคุณอาจหาญลง ไปแข่งแรลลี่กับแม่ของเขารับรองคุณมีแต่ทางแพ้กับแพ้

    ผู้ชายประเภท "ลูกติดแม่" ไม่เพียงแต่ถูกแม่ตามใจจนเสียเด็กเท่านั้น ในสายตาของแม่เขานั้น ยังมองไม่เห็นว่า จะมีผู้หญิงคนใดเลยที่ดีพอสำหรับลูกชายสุดที่รักของเธอ เธออาจจะทำตัวหวานเย็นกับคุณในระยะแรก แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็จะแสดงความเกลียดชังในเหล่าหญิงสาวทั้งหลาย ที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทำให้คุณเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ว่าเธอจะพูดถึงคุณกับคนอื่นๆ ว่าอย่างไร และเมื่อเขาอยู่กับแม่ของเขา เขาก็จะกลายเป็นลูกแหง่ที่แม่จะต้องคอยประคบประหงม และแม่เขาก็จะพูดกรอกหูอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่มีใครรักและสามารถปรนนิบัติเขาได้อย่างที่เธอทำให้เขา

    เมื่อคุณรู้จักเขาเป็นครั้งแรก คุณแทบจะไม่มีวันรู้เลยว่า เขาเป็นประเภทลูกติดแม่ เพราะท่าทางเขาดูดี มีความรับผิดชอบสูง มีความอ่อนโยน และรู้จักหน้าที่ของพ่อบ้านเป็นอย่างดี แต่แท้ที่จริง ชีวิตเขาจะวนเวียนอยู่กับแม่ของเขาเสมอ เขาจะเป็นลูกชายที่แสนดีพาแม่ไปตากอากาศ ไปซื้อของ ไปทานอาหารและไปหาเธอแทบจะทุกวัน และหากคุณไปแต่งงานกับเขาและเผอิญอยู่ต่างบ้านกัน คุณก็จะได้รับโทรศัพท์จากแม่เขาพูดกับลูกชายอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเผอิญอยู่บ้านเดียวกัน เขาก็จะขลุกกับแม่ของเขามากกว่าคุณ และหากคุณบ่นถึงเรื่องนี้เขาก็จะบอกคุณว่า เขามีแม่เพียงคนเดียว ขอให้คุณเข้าใจเขา แล้วคุณจะทนได้หรือ ?

    3. ประเภท "ขุนแผน"

    กลุ่มนี้คือ ผู้ชายเจ้าชู้ทุกประเภท เป็นผู้ชายที่ชอบยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงหลายคนในเวลาเดียวกัน เขาอาจจะมีครอบครัวแล้วหรือยังโสดอยู่ก็ได้ เขาจะไม่สนว่าคุณจะมีสามีหรือไม่ เขาสามารถหาเหตุผล ที่จะเข้ามายุ่งกับคุณได้ตลอดเวลา และเขาก็ไม่สนว่าภรรยาและลูกของเขาจะเจ็บปวด เพราะการกระทำของเขาเพียงใด

    พวกขุนแผนนี้ มักจะมีบาดแผลทางจิตใจสมัยเด็ก เขามักจะมาจากครอบครัวที่ไม่อบอุ่นนัก ความต้องการทางจิตใจมักจะไม่เคยได้รับการตอบสนองจากพ่อแม่ของเขา การ "ได้" ผู้หญิงคนแล้วคนเล่าของเขาจึงเปรียบเสมือนการแสวงหาสิ่งทดแทนการขาดความรักในช่วงวัยเด็ก แต่เนื่องจากเขาไม่สามารถกลับไปเป็นเด็กได้อีกครั้งหนึ่ง การแสวงหาสิ่งทดแทน จึงไม่สามารถทำให้จิตใจ ที่หิวโหยนี้เต็มอิ่มขึ้นมาได้จริงๆ

    ถ้าคุณไม่อยากอกหักช้ำใจทั้งชาติ ก็หลีกผู้ชายชนิดนี้ไปให้ไกลๆ แต่คุณต้องระวังว่า ผู้ชายเจ้าชู้มักปากหวาน เอาใจเก่ง คุณไม่ควรไปหลงคารมของเขา ให้จำไว้ว่าหวานเป็นลมขมเป็นยาก็แล้วกัน แต่ถ้าคุณพลาดใจไปแต่งกับเขาเข้าแล้ว คุณก็ต้องทำใจว่า เขาไม่ใช่สมบัติของเรา แต่เป็นของแผ่นดินที่คุณต้อง "แบ่งกันกินกันใช้กับสาวอื่นก็แล้วกัน"

    4. ประเภท "ยูงลำพอง"

    พวกนี้จะเป็นผู้ชายแบบพงศกร ที่มักจะหล่อเหลา ท่าทางดูดีไปหมด ความหล่อของเขา ทำให้ดูจะหลงตัวเองมากไปหน่อย มองอะไรก็จะตื้นๆ แค่รูปลักษณ์ภายนอก ผู้ชายกลุ่มนี้มักจะแสวงหา ผู้หญิงสวยหรือรูปร่างหน้าตาเข้าทีมาควงคู่หรือแต่งงานด้วย เขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลร่างกายให้หล่อเหลา และ "เนี๊ยบ" อยู่ตลอดเวลา

    เมื่อพลังงานของเขาทุ่มอยู่กับการตกแต่งภายนอก ทำให้เขาลืมการ "ตกแต่งภายใน" ผู้ชายเหล่านี้ เมื่อมองผ่านเสื้อผ้าราคาแพงเข้าไป จึงมองไม่เห็นความน่าสนใจในตัวเขาเลย และเมื่อคุณพูดกับเขาสักพัก คุณก็จะรู้สึกเบื่อเพราะดูเหมือนมันสมองของเขามิได้รับการพัฒนาให้เจริญไปพร้อมๆ กับร่างกายเท่าใดนัก

    นอกจากนี้เขาก็ยังมีการ "หลง" ในความหล่อของตนเองคล้ายดอกนาซิสซัสที่หลงเงาตัวเอง อย่างไรก็อย่างนั้น ผู้ชายประเภทนี้เหมาะจะเอาไปควงโชว์ในรายการ "โดมอนแมน" มากกว่าจะนำมาเป็นคู่ชีวิต

    5. ประเภท "เจ้าเหนือหัว"

    พวกนี้ชอบสำคัญตนผิด คิดว่าตนคือผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ ชอบบังคับให้ผู้อื่นมาอยู่ใต้อำนาจของเขา ถ้าคุณไปรักคนประเภทนี้ คุณก็ต้องรับคำสั่งเขาอย่างเดียว เขาอาจจะเข้ามาวุ่นวายกับการคบเพื่อนของคุณ การใช้ชีวิตของคุณ ถ้าไปไหนด้วยกันเขาก็จะเล่นบทผู้ปกครองของคุณและออกคำสั่งกับคุณตลอดเวลา คุณต้องหันซ้ายขวาตามที่เขาต้องการ ถ้าอยู่ห่างจากกัน เขาก็จะต้องพยายามให้รู้ได้ว่า คุณกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหนกับใคร แต่คุณจะต้องไม่หลงผิดคิดว่ามันคือ ความรัก ความห่วงใย เพราะแท้ที่จริงก็คือ เขาเป็นคนที่ชอบครอบงำผู้อื่น และต้องการใช้อำนาจของเขาบังคับให้คุณเป็นไปตามความต้องการของเขาเท่านั้น

    ในตอนแรกๆ คุณอาจจะคิดดีใจว่า นี่เป็นลักษณะของผู้นำที่คุณแสวงหามานาน แต่จริงๆ แล้ว เขาแสดงลักษณะเผด็จการออกมาต่างหาก หาใช่การเป็นผู้นำไม่ ผู้ชายที่เป็นผู้นำมักจะให้เกียรติแก่ผู้หญิง ของเขาเสมอ แต่ผู้ชายชนิดนี้ไม่เคยให้เกียรติแก่ใครเลย

    บุคคลประเภทนี้มักจะมาจากครอบครัวที่ไม่ใคร่ให้ความสำคัญกับเขามากนัก ทำให้เขาต้องมาแสดงอีโก้ หรือแสนยานุภาพนอกบ้านเอากับคุณ แล้วคุณทนได้หรือ ? รับรองว่าถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่มีความเคารพ ในตัวเองคุณย่อมทนไม่ได้แน่นอน

    6. ประเภท "นักกายกรรม"

    ประเภทนี้ได้แก่ผู้ชายที่ชอบลงมือลงไม้กับผู้หญิง เห็นผู้หญิงเป็นสมบัติส่วนตัวที่อยู่ในปกครอง คิดจะบีบก็จะตายคลายก็รอด บางทีก็จะเอาภรรยาหรือลูกเป็นแพะรับบาป เมื่อเขาเครียดจากที่ใดก็ตาม เช่น มีเรื่องกับหัวหน้างาน หาทางออกไม่ได้ก็จะนำความหงุดหงิดมาลงกับบุคคลที่เป็น "เหยื่อใกล้มือ" เพราะภรรยาและลูกโต้ตอบไม่ได้

    บุคคลชนิดนี้ มักมีจิตวิญญาณคล้ายเด็กที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง แม้ว่าร่างกายเขา จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม แต่ภายในก็คือเด็กที่ขาดความอบอุ่น มีชีวิตในวัยเด็กที่ไม่รู้จักการได้รับ ความรักจากผู้ใด และไม่รู้จักวิธีที่จะเรียนรู้ที่จะถ่ายทอดความรักความอบอุ่นให้แก่ผู้อื่นโดยไม่ใช้ความรุนแรง เขามักจะมีพ่อแม่ที่ทุบตีกันให้เห็นอยู่เป็นประจำ ทำให้เติบโตมาด้วยภาพเงาของความรุนแรงในครอบครัว

    เท่าที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นผู้ชายอันตรายหลายๆ ประเภทที่ผู้หญิงควรจะออกให้ห่าง อาจจะยังมีอีกหลายๆ ประเภทที่ไม่ได้นำมากล่าวทั้งหมด เช่น พวกนักเลงการพนัน พวกดื่มจัด หรือพวกรักร่วมเพศ เป็นต้น ที่กล่าวมาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ที่ผู้หญิงทั้งหลายควรจะต้องระวังให้ดี ถ้าจะมีความสัมพันธ์กับผู้ชายเหล่านี้ ถ้าคุณยังไม่ได้รักก็ควรพิจารณาให้รอบคอบ เพราะคนเราคิดจะมีแฟนทั้งที สมควรที่จะได้คนรักที่ดีและให้ความสุขแก่เราใช่ไหมคะ ?

    ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/29511.html

    วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

    รักกันเพราะอินเตอร์เน็ตมันจะดีหรือล่ม


    ไม่นานมานี้ที่สหรัฐอเมริกา Facebook เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้คู่รักจับได้ว่า แฟนที่เรารักนักรักหนาแอบคบหากิ๊ก ถึงขั้นเป็นเอกสารที่ทำให้การฟ้องหย่าสำเร็จมาแล้วหลายคู่

    เพราะ Facebook มัดแน่นจนเถียงไม่ออก บางคนอยากพิสูจน์ความซื่อสัตย์ของแฟนว่าจะใสซื่อเหมือนหน้าตาหรือเปล่า ปลอมตัวดีกว่าเป็นหญิงสาวแบ๊วใส ไวต่อความรู้สึก หลงทางเข้ามา Chat กับแฟนตัวเอง เพื่อลองใจทั้ง ๆ ที่ใกล้จะแต่งงานกันอยู่แล้วเชียว กะเล่นขำ ๆ คุย ๆ ไปคุยมาเลยลองถามคุณผู้ชายว่ามีแฟนหรือยัง ผู้ชายใกล้หมดวาระโสดเลยขอกระโดดโลดเต้นระยะสุดท้าย ตอบเสียงใส ๆ ยังไม่มีเลยจ้ะ ขอเบอร์หน่อยได้หรือเปล่า!!! หญิงสาวหน้าร้อนฉ่า ว่าที่สามีกำลังจะตีสนิทกับสาวทาง Chat ที่เขาไม่นึกว่าเป็นเราแกล้งให้เบอร์โทรที่เขาคงไม่คุ้น นัดแนะกันเรียบร้อยว่า 4 ทุ่ม คืนนี้จะโทรมา

    พอ Log out ก็นั่งเศร้าล่ะทีนี้ เธอกำลังจะนอกใจหรือแค่หาเบี้ยใบ้รายทาง ถ้าเธอโทรมาจะบอกกับเธอว่าอะไร เล่นบทเด็กหน้าใสไปจนกว่าเธอจะแพ้ภัยตัวเองหรือสารภาพซะ ยอมรับกันไปตรง ๆ ว่า ฉันหลอกเธอเพื่อไปเจอว่าเธอพร้อมจะหลอกฉันตลอดเวลา ไม่รู้ว่าตอนนี้พิธีแต่งงานจะเดินหน้าหรือว่าควรหยุดไว้แค่นี้ เป็นแฟนกันยังหลอกได้หลอกดี ตอนเป็นสามี ยิ่งไม่รู้ว่าประโยคไหนดีที่ควรเชื่อเธอ

    แต่ยังไงก็อย่าเพิ่งคิดว่าโลกออนไลน์เป็นสาเหตุแห่งหายนะอย่างเดียว หลายคนตามหาคนที่ใช่ เจอกันจนได้ใน Facebook บางคน Chat ไป Chat มา รู้ใจก่อนรู้จักหน้า ที่สมหวังกันมาก็เยอะ ประเภทคุยกันขำ ๆ ทำให้ช้ำซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็มีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ

    ตอนนี้ถ้าใครเริ่มรู้สึกว่าออนไลน์ทีไร นึกถึงหน้าใครคนหนึ่งทุกที หัวใจเต้นถี่ ๆ เวลาเห็นเธอออนไลน์ น้อยใจน้ำตาไหลที่เห็นเขาออนไลน์แต่ไม่เห็นทักทายกัน แปลว่าเราเริ่มหลงใหลใครบางคนบนโลกไซเบอร์ซะแล้ว
    ลองมาหาวิธีที่ช่วยตัดสินใจให้รู้กันไปว่า คนบางคนเราควรกดปุ่ม Enter หรือปล่อยให้มันเบลอ ๆ จนค่อย ๆ Delete ตัวเองไปในที่สุด

    1. แค่อยากมีเพื่อนนะ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาหากิ๊ก

    คุยกับตัวเองดี ๆ ก่อน การคุยกับเพื่อนใหม่ ๆ เหมือนการหาอะไรใส่ชีวิต แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาหากิ๊ก วิธีคิด วิธีคุยเราจะเปลี่ยน อีกฝ่ายอาจรู้สึกเลี่ยน ๆ คล้าย ๆ จะโดนปล้ำทางตัวหนังสืออยู่ตลอดเวลา เอะอะคุยเรื่องอนาคต ยัง!!! บอกกับตัวเองดัง ๆ ก็แค่หาเพื่อนใหม่ อนาคตจะเป็นยังไงก็ช่าง อย่างน้อยตอนนี้ขอให้มีความสุขที่ได้คุยกัน

    2. รู้หน้าไม่รู้ใจ

    เห็นแค่ตัวหนังสืออย่าไปถือจริงจัง บางคนรู้สึกเป็นปัญหา ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ใช่ปัญหา “พี่อ้อยคะ เค้าชอบบอกว่าคิดถึง หนูเลยสับสนว่าจะเริ่มต้นกันยังไงดี” คิดถึงเป็นคำสามัญที่ใช้กันอย่างธรรมดาน้อง อย่าคิดมากกับเรื่องเล็ก คนเรารู้สึกดีต่อใคร ก็พร้อมจะใส่คะแนนบวกให้เขาตลอดเวลา

    3. อย่าออกตัวแรงกว่า คิดถึง 5 บอกซะ 3

    เจอคนดีก็ดีไป เจอคนร้าย เขาจะยิ่งนึกสนุกในการปั่นหัว เพ้อทุกครั้งที่คุยกัน รู้สึกขาดเขาไม่ได้ มีอะไรพูดหมด บางคนแค่สนุกต่อการเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น

    4. หาข้อมูลเพิ่มเติมเสริมความมั่นใจ

    ยิ่งเป็น Facebook ยิ่งง่าย เขามีเพื่อนเป็นใครบ้าง ลองคลิก ๆ เข้าไปดูทั่ว ๆ รูปที่เขาหรือเพื่อนเขาเอามาแปะน่ะ ประมาณไหน กอดคอถึงเนื้อถึงตัวไปทั่ว หรือวางตัวดีน่ารักประวัติไม่ด่างพร้อย

    5. กระชับพื้นที่อีกนิด

    ถ้ารู้สึกติดใจ อย่ามัวแต่คุยกันทาง MSN ฝัน ๆ เพ้อ ๆ กับตัวหนังสือ อินเทอร์เน็ตคือจุดเริ่มต้นที่คนมาเจอกัน แต่ถ้าจะคบกัน จงคบกันแบบความสัมพันธ์ปกติ ลองโทรคุย แล้วค่อยขยับมาเจอกัน แต่ขอให้เจอกันในระยะปลอดภัย อย่านัดทีไร ดูเสี่ยงภัยตลอด รู้ว่าชีวิตวัน ๆ ไม่ค่อยมีอะไรลุ้น แต่ลุ้นเรื่องนี้บางทีได้ไม่คุ้มเสีย...เพื่อนพ้องพี่น้องช่วยตามมาประกบในวันนัดพบวันแรก

    6. ทำหลักฐานเพื่อยืนยันความสัมพันธ์

    เจอกัน คบกัน คุยกัน ถ่ายรูปคู่กันไม่มีอะไรเสียหาย ขอเน้นแค่โพสต์ท่าปกติ อย่าถึงขั้น Pre Wedding หรือกอดจริงจูบจริงไม่ต้องใช้สแตนด์อิน อันนี้ก็เยอะไป เลือกรูปที่ดูเบา ๆ แล้วค่อย ๆ โพสต์ในเว็บของเรา ไม่ได้ต้องการประกาศอะไร แค่ตามหาผู้เสียหายที่อาจปรากฏกายให้เราไม่ต้องนั่งทายว่า เขามีคนอื่นอยู่ก่อนเราหรือเปล่า
    ทั้งหมดเชื่อในตัวเองและเชื่อในความไม่แน่นอน คุยกันเรียนรู้กันไปแบบเห็นหน้าเห็นตา บางทีรู้หน้ายังไม่รู้ใจนับประสาอะไรกับการกดแป้นพิมพ์ อยากจะพูด อยากจะเป็นอะไร อยากโชว์นิสัยแบบไหน...บางคนคบกันเป็น 10 ปี อยู่ดี ๆ บอกว่าที่ผ่านมา เธอไม่ใช่ แต่พอคบคนใหม่ได้ 2 เดือนกว่า รีบประกาศซะดังว่าคนนี้ล่ะ คนที่ใช่


    รักจะอยู่ยาวหรือชั่วคราว ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเจอกันยังไง จะเจอทาง Twitter, Facebook, MSN หรือครอบครัวสนิทกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ไม่ได้เป็นตัวการันตีว่า เจอกันแบบไหนรักจะมั่นคงกว่ากัน เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่จุดเริ่มต้น มันอยู่ที่ระหว่างทางต่างหาก

    ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/29420.html

    10 อันดับภาษาที่ใช้มากที่สุดบนอินเตอร์เน็ต

    อันดับที่ 10 : Italian
    Italian 2.6% 33,143,152 User

    อันดับที่ 9 :
    Korean
    Korean



    อันดับที่ 8 : Arabic
    Arabic 3.7% มี 46,359,140 User

    อันดับที่ 7 :
    Portuguese
    Portuguese 4.0% มี 50,828,760 User



    อันดับที่ 6 : German
    German 4.9% มี 61,912,361 User

    อันดับที่ 5 :
    French
    French



    อันดับที่ 4 : Japanese
    Japanese 6.9 % มี 87,540,000 user

    อันดับที่ 3 :
    Spanish
    Spanish 9.0% มี 113,463,158 user



    อันดับที่ 2 : Chinese (Mandarin)
    Chinese (Mandarin) 14.7% มี 184,901,513 User

    อันดับที่ 1 :
    English
    English 30.1% มี 379,529,347 User

    ที่มา: http://variety.teenee.com/foodforbrain/29421.html

    10 อันดับภาษาที่ใช้มากที่สุดบนอินเตอร์เน็ต

    อันดับที่ 10 : Italian
    Italian 2.6% 33,143,152 User

    อันดับที่ 9 :
    Korean
    Korean



    อันดับที่ 8 : Arabic
    Arabic 3.7% มี 46,359,140 User

    อันดับที่ 7 :
    Portuguese
    Portuguese 4.0% มี 50,828,760 User



    อันดับที่ 6 : German
    German 4.9% มี 61,912,361 User

    อันดับที่ 5 :
    French
    French



    อันดับที่ 4 : Japanese
    Japanese 6.9 % มี 87,540,000 user

    อันดับที่ 3 :
    Spanish
    Spanish 9.0% มี 113,463,158 user



    อันดับที่ 2 : Chinese (Mandarin)
    Chinese (Mandarin) 14.7% มี 184,901,513 User

    อันดับที่ 1 :
    English
    English 30.1% มี 379,529,347 User

    ที่มา: http://variety.teenee.com/foodforbrain/29421.html