วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ป้องกันดวงตาลูกจากรังสียูวี

ผู้เชี่ยวชาญทางสายตาจากสถาบัน ป้องกันความผิดปกติทางสายตา สหรัฐอเมริกา เตือนพ่อ แม่ให้ระวังภัยจากแสงแดดและรังสียูวีที่จะมีผลกระทบต่อสายตาของลูกตั้งแต่ ยังเล็ก เนื่องจากกลุ่มเด็กเล็กตั้งแต่วัยแรกเกิดมีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับ อันตรายจากรังสียูวีเอและยูวีบี หากพวกเขาต้องเจอกับแสงแดดโดยตรง

ในช่วงที่พ่อแม่พาลูกออกไปนอกบ้านในช่วงกลางวันนั้น ควรระมัดระวังการออกแดดจัด การพาลูกไปเดินเล่นในช่วงกลางวัน และเมื่อถึงวัยเตาะแตะก็ต้องจำกัดช่วงเวลาในการให้ลูกออกไปเล่นนอกบ้านด้วย เนื่องจากเด็กชอบเล่นอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ซึ่งเลนส์แก้วตาของเด็กมีความโปร่งแสงสูงกว่าผู้ใหญ่ จึงเสี่ยงต่อการปะทะแสงเข้าสู่เลนส์แก้วตาโดยตรงทำให้สายตาสั้นได้ ง่ายขึ้น

ฮิวจ์ อาร์ แพรี่ ผู้ อำนวยการสถาบันฯ กล่าวว่าการป้องกันสายตาจากรังสียูวีตั้งแต่ลูกยังเล็กเป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่ ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรังสียูวีที่เกิดจากการสะท้อนผ่านน้ำ ทราย ถนน จะยิ่งเพิ่มอันตรายต่อดวงตามากขึ้น

จึงควรหลีกเลี่ยงหรือถ้าเป็นเด็กโตอาจให้สวมแว่นกันแดดตามความเหมาะสม ซึ่งแว่นกันแดดที่ดีควรเป็นแว่นที่มีเลนส์ทำมาจาก โพลีคาร์บอเนต จะสามารถป้องกันรังสียูวีได้มากกว่าแว่นที่ทำจากแก้ว หรือกระจก และสามารถป้องกันการขีดข่วนได้ด้วย

ที่มา:http://women.sanook.com/

13 พฤติกรรม แย่ๆ ที่ไม่ควรกระทำเมื่ออยู่บนเครื่องบิน

วันนี้ขอหยิบ กฏ กติกา มารยาท บนเครื่องบินที่เชื่อว่าทุกคนก็รู้ๆ กันอยู่แล้วมานำเสนออีกครั้ง เพื่อเตือนให้ได้ฉุกคิดกันก่อนทำพฤติกรรม (แย่ๆ) เหล่านั้นออกมา กับ 13 พฤติกรรมที่ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่งมีดังต่อไปนี้


1. ปรับระดับที่นั่งเอนลง (แบบว่า..ไม่ดูตาม้าตาเรือ)
ทุกครั้ง ก่อนเพิ่มความสะบายด้วยการปรับเบาะเอนลงนอน ควร (อย่าลืม!) สังเกตผู้ที่นั่งอยู่ทางด้านหลังเราก่อนว่าขณะนั้นเขากำลังทำอะไรอยู่ เช่น กำลังก้มเก็บของ หรือทานอาหารอยู่หรือไม่ (โดยเฉพาะช่วงที่พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ) จึงไม่ควรปรับเบาะลงเลยทันที หากเป็นไปได้ ~ อาจบอกให้คนด้านหลังทราบก่อนได้ก็ดีนะค่ะ

2. ผายลม (ตด...!)
อัน นี้คงห้ามได้ยาก เพราะไม่รู้ว่าธรรมชาติจะเรียกร้องความต้องการตอนไหนแต่ตามกฎ กติกา มารยาทแล้ว การผายลม หรือภาษาชาวบ้าน (ตด...!) นั้นเป็นสิ่งที่สมควรกระทำใน "ห้องน้ำ" เท่านั้นนะค่ะ เพราะฉะนั้นหากธรรมชาติเรียกร้องมาเมื่อใด ควรอดทนกั้นไว้ และเดินไปปล่อยเบาๆข้างในห้องน้ำ

3. ถอดถุงเท้า-รองเท้า
หาก ไม่มั่นใจว่า "เท้า" สะอาดปราศจากกลิ่นอันไม่พึ่งประสงค์ แบบว่า..ใส่รองเท้าคู่เก่งแสนเก่า ทั้งลุยแดดลุยฝนมานาน ไม่เคยผ่านการซักล้างทำความสะอาดเลย ก็อย่าถอดรอง-เท้าถุงเท้าบนเครื่องบินเลยนะค่ะ เครื่องอาจสูญเสียการทรงตัวได้!

4. ทานอาหารตระกะ มูมมาม เคี้ยวเสียงดัง และเรอ
เมื่อ เจออาหารอร่อยๆบนเครื่องบิน จากพนักงานเสิร์ฟสวยๆอย่างแอร์ อาจเกิดอาการเจริญอาหารขึ้นมาทันที แต่ไม่ควรเคี้ยวอาหารเสียงดัง ทานมูมมาม อิ่มแล้วเรอ เผลอแคะขี้ฟัน ในขณะที่คนข้างๆยังทานอยู่ ซึ่งถือได้ว่าการกระทำเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และเป็นการไม่ให้เกียรติอย่างแรง

5. เปิดลำโพงเสียงดัง
เราอาจ ผ่อนคลายตัวเองด้วยการ ดูหนัง ฟังเพลง เพื่อค่าเวลาขณะอยู่บนเครื่องก็ควรใช้หูฟัง แต่ถึงจะเสียบหูฟังก็ไม่ควรเปิดเสียงดังๆจนรบกวนคนนั่งข้าง แล้วอย่าเผลอแสดงอาการเหล่านี้ออกมา ซึ่งเป็นการรบกวนคนนั่งข้างๆคะ หากกำลังมันกับหนัง หรือเสียงเพลงเลย ผิวปาก ร้องเพลงคลอ หรือเคาะจังหวะตาม หรือนักกว่านั้นออกท่าทางมือไม้แสดงอารมณ์ไปด้วย เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ นอกจากรบกวนคนอื่นแล้ว ยังกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาคนอื่นอีกด้วย

6. ยืดแขนขาตามอำเภอใจ
นั่ง นานๆอาจรู้สึกเมื้อย จนต้องยืดเส้นยืดสายกันหน่อย ถ้าทำแต่น้อยพอควร ไม่ไปล้ำเขตแดนไปอาณาเขตคนอื่นเค้า ก็ไม่น่าเกียจหลอกค่ะ แต่ถ้ามากจนเกินอาณาเขตถือเป็นการเสียมารยาท หากถ้ายิ่งมีกลิ่นตัวแรงด้วยแล้ว ยังยกแขนขึ้นโชว์อีกไม่ควรทำอย่างยิ่ง

7. นอนซบไหล่คนอื่น
อย่า เผลองีบหลับจนคอตก ซบลงไหล่คนนั่งข้าง ถึงแม้จะไม่ได้เจตนาแต่ก็ไม่ควรทำ และอย่าหลับลึกจนเกิดอาการน้ำลายไหลยืดลงไหล่เค้าโดยเด็ดขาด

8. คุยข้ามหัวผู้โดยสารคนอื่น
เรา อาจได้ที่นั่งบนเครื่องไม่ติดกันกับเพื่อนที่ไปด้วย แต่ต้องการเจรจาขณะนั้น อย่าลุกคุยตะโกนข้ามหัวคนอื่นที่นั่งอยู่ด้วย เพราะเป็นการรบกวน สร้างความรำคาญ แถมยังเสียมารยาทอย่างแรง ห้ามทำโดยเด็ดขาด ควรเดินเข้าไปนั่งคุยใกล้ๆ อย่างสำรวม

9. ชวนคนอื่นคุย (ตอนไม่รู้เวร่ำเวลา)
หาก ผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ กำลังนอนหลับตาหรือเสียบหูฟังอยู่ ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วล่ะก็ ห้ามชวนคุยเป็นอันขาด เพราะในเวลานั้นเค้าต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่อยากคุยกับใคร

10. ถีบหรือดันเบาะนั่งด้านหน้า
เวลา อยู่บนเครื่องบินพยายามอย่าใช้เข่า หรือใช้เท้า ดัน ยัน ถีบ เบาะนั่งทางด้านหน้า เพราะเป็นการเสียมารยาทอย่างแรง ซึ่งการกระทำนี้หากเป็นผู้ใหญ่คงรู้ดี แต่ถ้าหากมีเด็กไปด้วยก็ต้องคอยดูแลเด็กไม่ให้แสดงการกระทำดังกล่าวนี้เช่น กัน

11. ลุกเข้าห้องน้ำ หรือลุกจากที่นั่งบ่อยๆ
หากเป็นคนที่ ช้ำรั่วต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ แต่ดันได้ที่นั่งด้านใน จนต้องรบกวนคนนั่งข้างตลอดเวลาเพื่อต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ ทางออกที่ดีจึงควรเลือกที่นั่งเบาะริม หรือขอสลับที่นั่งกับคนด้านข้าง เพื่อจะได้ไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น

12. เอาที่วางแขนขึ้น
ไม่ควรยกที่วางแขนซึ่งกั้นกลางระหว่าง 2 ที่นั่งขึ้นโดยพลการ หากไม่ได้รับการยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง จะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับการยินยอมทั้งสองฝ่าย เพื่อไม่เป็นการรุกล้ำความเป็นส่วนตัว

13. ออกจากที่นั่งด้วยการปีนข้ามผู้โดยสารคนอื่น
หาก ต้องการลุกจากที่นั่งในขณะที่ผู้โดยสารข้างๆ กำลังนอนหลับอยู่ อันนี้ฝรั่งเค้าไม่ถือ [ตราบใดที่มั่นใจว่าจะไม่ทำให้เค้าตื่น] แต่ทางที่ดีควรทำตามวิธีในข้อที่ 11 ดีกว่านะค่ะ

แหล่งที่มา: http://www.news.com.au/travel/story/0,28318,26103057-36335,00.html

ทำอย่างไรเมื่อคุณไม่มีความสุขในการทำงาน

หลาย ๆ คนอาจจะเกิดความเครียดและเบื่อหน่ายกับงานที่ทำอยู่นะคะ ก็มีหลายคนได้มาปรึกษาปัญหาเรื่องงานบ้าง ก็อยากจะลาออก และบ้างก็ถามว่าแล้วจะปรับตัวอย่างไรหากเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ทำอยู่

อยากจะฝากข้อคิดไว้ประการหนึ่งนะคะว่า ถ้าหากมีอิสรภาพทางการเงินซึ่งหมายถึงว่า การที่มีเงินที่ใช้สอยได้ไม่เดือดร้อนแล้วก็ “สามารถเลือกที่ทำในสิ่งที่คุณรัก” แต่ถ้าหากยังมีเงินไม่พอที่จะใช้จ่ายแล้ว “ก็
ต้อง (พยายาม) รักในงานที่ทำ”

การจะรักในงานที่ตนเองทำอยู่นั้นอาจจะเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก และเห็นคน วัยหนุ่มสาวในปัจจุบันจะมีความอดทนค่อนข้างต่ำ พอรู้สึกไม่พอใจ/ไม่ถูกใจกับงานหรือกับคนร่วมงานก็จะคิดจะลาออก

การลาออกไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา เพราะจากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของตัวเอง หรือคนที่รู้จัก ทั้งที่เป็นเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง ก็ได้ยินทุกคนบ่นถึงปัญหาในที่ทำงานของตนเองแทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นหน่วยงาน ราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ ธุรกิจเอกชน เพียงแต่ปัญหาจะมากจะน้อยเท่านั้น ดังนั้นการย้ายงานจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่ง ก็จะเผชิญกับปัญหาในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง

ดังนั้นการที่จะทำใจให้รักกับงานก็คงจะต้องพยายามคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้

(1) ความจำเป็นของรายได้สำหรับมาเลี้ยงตนเองและสมาชิกในครอบครัว
เพราะการมีรายได้สำหรับเลี้ยงตนเอง ทำให้ตนเองอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น การจะต้องพึ่งพาคนอื่นที่แม้จะเป็นญาติพี่น้องแล้ว อาจจะเป็นไปได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวหรือเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น นอกจากพ่อแม่แล้ว คนที่จะมารับภาระ หรืออุปถัมภ์เราตลอดไป คงจะเป็นไป ได้ยาก

ดังนั้นอย่าด่วนผลุนผลันลาออกจากงาน ควรจะตริตรองดูว่าอะไรคือปัญหาเกิดจากตัวเรา เกิดจากเพื่อนร่วมงาน หรือ เกิดจากระบบ และวัฒนธรรมขององค์กร และพิจารณา ดูว่า เราจะสามารถปรับตัวเราได้หรือไม่ เราไม่สามารถปรับเปลี่ยนเจ้านาย หรือเพื่อนร่วมงานได้ ถ้าเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะปรับตนเองได้ จึงตัดสินว่าขั้นสุดท้ายถึงการลาออก ก่อนจะลาออกก็ท่องสโลแกนที่เคยฮิตในยุคหนึ่งว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” พยายามท่องไว้ให้ขึ้นใจ

(2) ให้เห็นคุณค่าของงาน ทั้งนี้งานอาชีพที่สุจริตทุกชนิดล้วนแต่มีคุณค่าของตนเองทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นงานระดับล่าง เช่น เสมียน ภารโรง หรือพนักงานทำความสะอาด ต่างเป็นกลไกหนึ่งขององค์กร และทำงานในส่วนที่รับผิดชอบให้ดีที่สุดด้วยความขยันหมั่นเพียร การทำงานที่เท่ากับคนอื่นทำก็จะได้เท่ากับคนอื่น การทำงานจะต้องทำให้มีผลงานที่ดีและในวันหนึ่งก็จะเป็นที่ประจักษ์รับรู้ของบุคคลอื่นและเมื่องานที่เราทำได้รับการยอมรับ

(3) มองถึงคนอื่นที่ด้อยกว่าตนเอง เพื่อสร้างกำลังในการทำงานต้องคิดดูว่าเราโชคดี ที่ยังมีงานทำ ในขณะที่คนอื่นอีกจำนวนมากกำลังตกงานหรือหางาน การจะมองแต่บุคคลที่อยู่สูงกว่าเราก็อาจจะทำให้หดหู่ท้อถอย ดังนั้นการมองว่าคนอื่นที่ยากลำบากกว่าเราก็ยังมีอยู่มาก

(4) ทำใจให้รักกับงาน ถ้าคิดว่างานดูน่าเบื่อหน่าย ก็จะทำให้ไม่อยากจะทำงาน ดังนั้นจึงต้องคิดปรับปรุงและพัฒนางานให้ท้าทาย น่าสนใจ ว่าเราจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร ซึ่งถ้าหากทำได้สำเร็จก็จะเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ก้าวข้ามความเบื่อหน่ายจากงานประจำ

หวังว่าคงจะเป็นข้อคิดให้สำหรับคนที่กำลังเซ็งและเบื่อหน่ายกับงานนะคะ และถ้าหากจะตัดสินใจลาออกจากงานจริง ก็เสนอให้ลาพักร้อน เพื่อใช้เวลาสำหรับการไตร่ตรองดูก่อน

การเลือกสื่งที่ดีให้กับชีวิต


. เค้าว่ากันว่า . . . อ่านหนังสือสักเล่มต้องใช้เวลา
เช่นเดียวกัน เราคงไม่รู้จักใครสักคนได้ดีตั้งแต่วันแรก

2. เค้าว่ากันว่า . . . อย่าตัดสินหนังสือดี ๆ แค่ปกมันสวย
เช่นเดียวกัน คนหน้าตาดี อาจจะไม่ใช่คนดีเสมอไป

3. เค้าว่ากันว่า . . . คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย
ก็ใช่ว่าจะมีหนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ชอบไม่ได้
เช่นเดียวกัน คนที่เราไม่คิดจะอยากรู้จัก
อาจจะเป็นคนที่ดีที่สุดในชีวิตเราก็ได้

4. เค้าว่ากันว่า . . . การชอบหนังสือสักเล่ม
ไม่ได้หมายความว่า หนังสือเล่มนั้น เนื้อหาดีทุกหน้า
เช่นเดียวกัน การรู้สึกดีกับใครสักคน
ไม่จำเป็นว่าเขาต้องไม่มีข้อเสียอะไรเลย

5. เค้าว่ากันว่า . . . อย่ารู้สึกเสียดายเวลา
กับการอ่านหนังสือบางเล่มจนจบ
แล้วพบว่าเป็นหนังสือที่ไม่ชอบ
เช่นเดียวกัน จงรู้สึกดี
กับการใช้เวลากับใครสักคนหนึ่งอย่างเต็มที่
แม้ว่าวันหนึ่งจะรู้ว่า เขาคนนั้นไม่ใช่เลยสักนิด
เพราะอย่างน้อย ต่อจากนี้ไป
เราจะได้เลือกทางที่ถูกและคนที่ใช่ซะที

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หมื่นตา กับการใช้สติ - สมาธิ ขจัดความทุกข์

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


ไม่มีใครในโลกนี้ไม่เคยเผชิญกับความโกรธ เกลียด โลภ หลง เพราะสิ่งเหล่านี้คือกิเลสที่คอยมารบกวนจิตใจของ "มนุษย์" อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และถ้าเมื่อใดก็ตามที่กิเลสเหล่านี้เริ่มย่างกรายเข้ามาแล้ว ย่อมจะนำมาซึ่ง "ความทุกข์" อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

แต่ทว่า "ความทุกข์" อาจไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายสำหรับทุกคน เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า เราจะเลือกดับความทุกข์ด้วยวิธีใด แล้วจะเดินไปทางใด เพื่อให้ความทุกข์เหล่านี้ดับสูญ แล้วกลายมาเป็นบทเรียนย้อนสอนตัวเราเองทางดับทุกข์ง่าย ๆ ที่เราควรตระหนักไว้เสมอคือ การมี "สติ" อยู่กับตัวเอง เพราะหากเรามี "สติ" เราย่อมรู้เท่าทันความจริง รู้สึกตัว รู้ทันอารมณ์ของเรา จึงช่วยป้องกันไม่ให้ความทุกข์ใด ๆ เข้ามาทำอันตรายเราได้

เมื่อมี "สติ" แล้ว "สมาธิ" ก็บังเกิด จะช่วยให้เรากลับมาสู่ตัวตนที่แท้จริง เข้าใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ จนสามารถขจัดเมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ในจิตใจให้ดับสิ้นไปได้โดยง่าย อย่างเช่น ข้อคิดดี ๆ ของหมื่นตา ที่ได้แนะนำวิธีกำจัดความทุกข์ ด้วย "สติ" และ "สมาธิ" ดังเรื่องราวต่อไปนี้



















ที่มา: http://hilight.kapook.com/view/50824


วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

8 เรื่องน่ารู้ในการใส่ใจดูแลรถใช้ก๊าช

ก๊าซ LPG เป็นพลังงานทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในทุกวันนี้ แต่เครื่อง ยนต์ที่ใช้ก๊าซจะมีค่าความร้อนของเครื่องยนต์สูง จึงต้องคอยดูแลเครื่องยนต์เพิ่มมากขึ้น และนี่คือเรื่องที่คุณควรใส่ใจหากใช้รถติดก๊าซ

1. ตรวจเช็กจุดข้อต่อและท่อนำก๊าซ ว่ามีการรั่วซึมตามจุดต่าง ๆ ของเครื่องยนต์หรือไม่ในทุก ๆ 6 เดือน รวมทั้งให้สังเกตกลิ่นก๊าซรั่วทุกวัน

2. ตรวจระดับน้ำมันเครื่องทุกสัปดาห์ ระบบก๊าซจะสิ้นเปลืองน้ำมันเครื่องมากกว่าน้ำมันประมาณ 5-15% ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องมากกว่าสเป็ก 30% พร้อมเติมสารเสริมประสิทธิภาพเข้าไปด้วย เพื่อรักษาวาล์ว และอุปกรณ์ขึ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ หากสังเกตว่าน้ำมันเครื่องลดลงมากผิดปกติให้เปลี่ยนชุดแหวนลูกสูบ

3. ควรตรวจเช็กและตั้งบ่าวาล์วไอเสีย ทุก ๆ 40,000-60,000 กิโลเมตร เพราะบ่าวาล์วไอเสียของเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซ LPG มีโอกาสสึกหรอเร็วกว่าการใช้น้ำมันเบนซิน จึงควรใช้น้ำมันเบนซินสลับกับการใช้ก๊าซ เพื่อให้น้ำมันไปเคลือบบ่าวาล์วบ้าง จะได้มีอายุการใช้งานนานขึ้น

4. ตรวจเช็กและทำความสะอาดไส้กรองอากาศ ทุก ๆ 5,000 กิโลเมตร บ่อยกว่าการตรวจเช็กเมื่อใช้น้ำมันเบนซินอย่างเดียว (ปกติ 10,000 กิโลเมตร)

5. ตรวจเช็กการทำงานของเครื่องยนต์ ควรมีการเปลี่ยนชุดหัวเทียนใหม่ทุก 6 เดือน เพราะอาจทำให้การจุดระเบิดในห้องเผาไหม้เกิดความผิดพลาดได้ เนื่องจากความร้อนในห้องเผาไหม้สูงมาก และถ้าชุดสายหัวเทียนแตกหักให้รีบเปลี่ยนใหม่เพื่อป้องกันการเกิดประกายไฟ ขึ้น

6. ตรวจระบบระบายความร้อน การใช้ก๊าซมีความร้อนสูงกว่าการใช้น้ำมันควรดูแลปรับชุดระบายความร้อนให้มี ประสิทธิภาพมากที่สุด ควรเช็กระดับน้ำในระบบระบายความร้อนทุกสัปดาห์

7. ตรวจสอบอุปกรณ์ สำหรับเติมก๊าซถังก๊าซ ตัวน็อตที่ยืดถังก๊าซทุกเดือน

8. เพื่อรักษาสภาพของเครื่องยนต์ ควรใช้น้ำมันสตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนและหลังการใช้ และควรมีน้ำมันติดถังไว้อย่างน้อย 1 ใน 4 ถัง เพื่อป้องกันระบบน้ำมันเสียหาย

ที่มา: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=saradee&month=17-07-2010&group=2&gblog=360



วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การขอโทษ และ การให้อภัย

การขอโทษและการให้อภัย .........ว.วชิรเมธี




การรู้จักขอโทษนั้นเป็นมารยาทอันดีงามสำหรับตัวผู้ทำเอง และเป็นการช่วยระงับหรือช่วยแก้โทสะของผู้ถูกกระทบกระทั่งให้เรียบร้อยด้วยดีในทางหนึ่ง หรือจะกล่าวว่าการขอโทษคือการพยายามป้องกันมิให้มีการผูกเวรกันก็ไม่ผิด

เพราะเมื่อผู้หนึ่งทำผิด อีกผู้หนึ่งเกิดโทสะเพราะถือความผิดนั้นเป็นความล่วงเกินกระทบกระทั่งถึงตน แม้ไม่อาจแก้โทสะนั้นได้ ความผูกโกรธหรือความผูกเวรก็ย่อมมีขึ้น ถ้าแก้โทสะนั้นได้ก็เท่ากับแก้ความผูกโกรธหรือผูกเวรได้ เป็นการสร้างอภัยทานขึ้นแทน อภัยทานก็คือการยกโทษให้ คือการไม่ถือความผิดหรือการล่วงเกินกระทบกระทั่งว่าเป็นโทษ

อันอภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ

เช่นเดียวกับทานทั้งหลายเหมือนกัน
คืออภัยทานหรือการให้อภัยนี
้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด
จะยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่อ
งใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ

โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน

โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้ส
ูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น

ผู้ดูแลเห็นความสำคัญของจิต จึงควรมีสติทำความเพียรอบรมจิตให้คุ้นเคยต่อการให้อภัยไว้เสมอ เมื่อเกิดโทสะขึ้นในผู้ใดเพราะการปฏิบัติล้วงล้ำก้ำเกินเพียงใดก็ตาม พยายามมีสติพิจารณาหาทางให้อภัยทานเกิดขึ้นในใจให้ได้ ก่อนที่ความโกรธจะดับไปเสีย
เองก่อน

ทำได้เช่นนี้จะเป็นคุณแก่ตนเองมากมายนัก ไม่เพียงแต่จะทำให้มีโทสะลดน้อยลงเท่านั้น และเมื่อปล่อยให้ความโกรธดับไปเอง ก็มักหาดับไปหมดสิ้นไม่ เถ้าถ่านคือความผูกโกรธมักจะยังเหลืออยู่ และอาจกระพือความโกรธขึ้นอีกในจิตใจได้ในโอกาสต่อไป

ผู้อบรมจิตให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับการให้อภัย
แม้จะไม่ได้รับการขอขมา ก็ย่อมอภัยให้ได้

ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจให้คุ้นเคยกับการให้อภัยเลย โกรธแล้วก็ให้หายเอง แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะไม่อภัยให้ได้ เป็นเรื่องของการไม่ฝึกใจให้เคยชิน

อันใจนั้นฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างไดก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายก็จะร้าย...

ที่มา: http://variety.teenee.com/saladharm/28219.html


9 ความเชื่อเรื่องนาฬิกา




นาฬิกานอกจากเป็นเครื่องบ่งบอกเวลาแล้ว นาฬิกายังจัดได้ว่าเป็นวัตถุมงคล และเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภมากมายอีก เช่นกัน

บ้างก็ว่านาฬิกาเป็นลักษณะของความก้าวหน้า ความเจริญรุ่งเรืองของพลัง ความสามารถหมุนเวียนไปได้อย่างทั่วถึง เสียงของนาฬิกาจึงเป็นพลังแห่งความตื่นตัว กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ โดยเฉพาะนาฬิกาโบราณ นายสรรเสริญ เล่ห์จันทร์พงษ์ หรือที่รู้จักกันในนาม "ช่างอั๋น" ผู้สืบทอดการซ่อมนาฬิกาโบราณจาก "ช่างเซ็ง วัดคฤหบดี" บอกว่า ความเชื่อเรื่องนาฬิกา เริ่มตั้งแต่การจัดตำแหน่งของนาฬิกาในบ้านที่มีความสำคัญมาก ไม่ควรวางตำแหน่งของนาฬิกาที่ฝาผนังด้านขวาของบ้าน ไม่ควรแขวนนาฬิกาหรือเมื่อเปิดประตูเข้าบ้านต้องไม่เห็นนาฬิกาเผชิญหน้ากับเราพอดี บ้างก็ว่า นาฬิกาตรงกับประตูบ้านเป็นสัญลักษณ์ของการหมดอายุขัย

ปัจจุบัน ยังมีคนที่เชื่อถือในความเชื่อสัญลักษณ์สิริมงคลที่แฝงอยู่ในนาฬิกา นาฬิกาที่ดีต้องไม่หยุดเดิน ที่เรียกว่า นาฬิกาตาย เมื่อนาฬิกาเดินจึงเป็นความหมายแห่งพลัง ความก้าวหน้า บ้างก็ว่าพลังที่ดีต้องมีการหมุนเวียนหยิน-หยาง พลังในทางมืดและทางสว่าง นาฬิกาน่าจะเป็นสัญลักษณ์ตรงนี้ได้ดี เมื่อสองพลังนี้สมดุลกันโบราณว่า จะนำโชคลาภมาให้

จากประสบการณ์การเป็นช่างซ่อมนาฬิกาโบราณ ช่างอั๋นได้รวบรวม 9 ความเชื่อเกี่ยวกับนาฬิกา พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า

1. นาฬิกาที่เดินนานที่สุด บางคนเชื่อว่านาฬิกาที่เดินนานที่สุดเป็นสัญลักษณ์แห่งอายุยืน ความปลอดโปร่ง สบายใจ ความเข้มแข็ง พลังแห่งความกระตือรือร้น ไม่เฉื่อยชา นาฬิกาประเภทที่เดินยาวนานที่สุดก็คือ นาฬิกาสี่ร้อยวันตั้งโต๊ะที่มีครอบแก้ว โดยไขลานเพียงครั้งเดียว

แต่ยังมีนาฬิกาที่เดินนานที่สุด ที่นักสะสมนาฬิกามักบอกว่าเดินกันชั่วชีวิต คือ นาฬิกา Almos เป็นนาฬิกาที่เดินด้วยความกดอากาศหรืออุณหภูมิ โดยใช้หลักการในทุก ๆ 4 นาที อุณหภูมิของอากาศจะเปลี่ยนขึ้นลงตลอดเวลา

2. เสียงตีของนาฬิกา เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ ชื่อเสียงเกรียงไกร สร้างพลังที่ดีให้แก่บ้าน เกิดความสำราญบานใจ ทั้งยังดึงดูดพลังที่ดีเข้าบ้าน ทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขและมีโชคลาภ นาฬิกาที่ค่อนข้างเงียบ ไร้เสียงกระดิ่งใส ไร้เสียงเพลง ถือว่าไม่ดีนัก คนในบ้านจะอับโชค ในขณะที่บางคนเชื่อว่า นาฬิกาไม่ตีเป็นสัญลักษณ์แห่ง ความเหนื่อย ไม่มีเวลาพักผ่อน มีแต่ความเร่งร้อนแห่งการรอคอย

3. หน้าปัดนาฬิกาก็เหมือนคน ความสง่างามก็อยู่ที่หน้า บ่งบอกถึงความมั่นคง หรือ หนักแน่น ความสมบูรณ์ เหมือนกับเด็กทารกที่อ้วนจ้ำม่ำ ดูแล้วเป็นมงคลในด้านโชคลาภ อุดมสมบูรณ์ ความรุ่งเรือง

บางคนเชื่อว่า หน้าปัดที่ดีคือ หน้ากระเบื้อง เพราะกระเบื้องจะมีความเงางามสดใส ไม่มัวหมองง่ายเหมือนหน้าประเภทอื่น ดูแลสบาย สีสันสดใส สวยงาม ให้เกิดความสุข โชคดี และความคงทนกว่าหน้าประเภทอื่น แต่ถ้าแตกก็เลิกกัน

4. สีมงคลประจำวันเกิด หลายคนเชื่อว่า สีประจำวันเกิดน่าจะเป็นสีที่ส่งผลต่อความเจริญ ประจำราศีเกิดของคนนั้น หน้าปัดของนาฬิกาที่มีสีต่าง ๆ นักสะสมเชื่อว่าน่าจะเลือกตามสีประจำวันเกิด เช่น สีเหลืองประจำวันจันทร์ วันอังคารสีชมพู วันพุธสีเขียว

แต่ยังมีพิเศษอีกอย่างคือ หน้าครีม เหลืองอ่อน ระหว่างเลขที่หน้าปัดจะมีรูปสัญลักษณ์สีแดงคล้ายซิ่ว หรือ ตราลูกเสือ ตรงนี้นักสะสมเรียกว่าหน้ามีซิ่ว ซึ่งหมายถึง เทพแห่ง โชคลาภ หนึ่งในสาม คือ ฮก ลก ซิ่ว เชื่อว่าบันดาลโชคและความสุขให้ครอบครัว สุขภาพแข็งแรง

5. ม้าและนกอินทรี บางคนเรียกว่าหัวโขนบนนาฬิกาที่อยู่ด้านบนสุดของนาฬิกา มีความเชื่อว่า ม้าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี สำเร็จ แต่ต้องเป็นม้าสีทอง สีเงิน และ สีน้ำตาล บันดาลชัยชนะ ส่วนสีดำไม่เหมาะ นกอินทรี เป็นสัญลักษณ์แห่งความสง่างาม วาสนาสูง

การเริ่มต้นที่ดีของความรุ่งเรือง นกที่มีท่วงท่าว่ากำลังจะบินเข้าบ้าน หมายถึง โชคลาภเข้ามาสู่บ้านเรือน ถ้าเป็นรูปอื่น เช่น สิงโต จะให้มงคลด้านความเข้มแข็ง เป็นผู้นำ การนับถือจากคนรอบข้าง

6. กระจกเจียระไน หมายถึง กระจกที่นำไปเจียระไนลบเหลี่ยม หักเหแสงแวววาวเหมือนเพชร เหมือนคริสตัล มีความเชื่อว่าเป็นพลังของแสงสะท้อนกับแก้ว แล้วกระจายพลังที่ดีไปรอบ ๆ ขจัดพลังลบให้ออกไปจากบ้าน จะประสบความรุ่งเรือง เฟื่องฟู ฐานะการเงินมั่นคง ความสำเร็จอย่างสูง แต่ต้องเช็คทำความสะอาดกระจกให้เงางามอยู่เสมอ


7. พระจันทร์ยิ้ม เชื่อว่าพระอาทิตย์-พระจันทร์ เป็นตัวแทนแห่งพลังหยิน-หยาง หมุนเวียนสับ เปลี่ยนกัน ถือว่าเป็นมงคลนัก เต็มไปด้วยพลังแห่งความกระตือรือร้น ไม่เฉื่อยชา พระจันทร์เป็นสัญลักษณ์แห่งความร่มเย็นจิตใจที่อ่อนโยน และจะนำเรื่องความรักความเมตตามาสู่ท่านด้วย ถึงว่าทำไมนาฬิกาพระจันทร์ยิ้มถึงแพงและหายาก ก็เพราะเป็นแบบนี้นี่เอง

8. นาฬิกาโป๊ยก่วย หมายถึง นาฬิกาแปดเหลี่ยม มีลักษณะเหมือนยันต์แปดทิศของคนจีนที่ใช้เป็นสัญลักษณ์สำหรับแก้อาถรรพณ์ ต่างๆ เช่น ทางสามแพร่ง ถนนพุ่งเข้าบ้าน จึงใช้ลักษณะแปดเหลี่ยม แก้ไข ฮวงจุ้ยที่เสีย นาฬิกาแปดเหลี่ยมคนสมัยก่อนจึงเชื่อว่า เหมือนยันต์ แปดทิศ แต่มีพลังหยิน-หยาง แฝงอยู่ในตัวสมบูรณ์ และเสียงตีตามความเชื่อที่กล่าวมาแล้ว จะสังเกตว่าคนจีนสมัยก่อนนิยมนาฬิกาแปดเหลี่ยมกันมาก นอกจากนาฬิกาแปดเหลี่ยมแล้ว คนจีนเชื่อว่านาฬิการูปทรงกลม คล้ายเหรียญสตางค์จะนำลาภผลมาให้

9. คำอวยพรอันเป็นมงคล สมัยก่อนเมื่อมีการเปิดกิจการร้านค้า ส่วนใหญ่จะนำนาฬิกาตั้งพื้น (ชิกโซ่) เป็นของขวัญที่ระลึกวันเปิดร้านใหม่

และกระจกด้านหน้าที่มีข้อความเขียนคำอวยพรเป็นภาษาจีน ซึ่งล้วนแต่เป็นคำมงคลเกี่ยวกับโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง ร้อยละเก้าสิบของนาฬิกาประเภทนี้จะมีคำอวยพรทั้งนั้น นักสะสมบางคนชอบเก็บสะสมคำอวยพรไว้ ซึ่งเป็นความหมายที่ดี

นาฬิกาเซี่ยงไฮ้ของจีน จะมีกระจกเขียนลายสีหรือคำอวยพรตัวโต ๆ สวยงามแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง นาฬิกาเซี่ยงไฮ้จีนบางเรือนก็เขียนเป็นลายราศีประจำวันเกิด ที่เคยพบเห็นมี ปีวัว ปีเสือ ปีมังกร ปีงูเล็ก ปีลิง แต่หายากมาก นาฬิกาประเภทนี้กำลังตามเก็บรูปมาให้ท่านดูในโอกาสต่อไป น่าจะเป็นลักษณะมงคลที่ดีอีกแบบหนึ่ง

"9 ลักษณะนาฬิกาที่เป็นมงคลตามตัวอย่างที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงความเชื่อในส่วนหนึ่ง ซึ่งจริง ๆ แล้วยังคงมีมากกว่านี้ ที่หลายท่านมองเห็นในสิ่งที่ดีที่เป็นมงคลของนาฬิกา ในท้ายสุดของปี เรื่องของสิริมงคลน่าจะเป็นเรื่องที่น่าพูดถึงกับทุกท่านมากที่สุด" ช่างอั๋น กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/28229.html








วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จับตา 15 โรค อันตรายช่วงหน้าฝน

นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในฤดูกาลนี้ เป็นสาเหตุให้โรคหลายชนิด สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว

ทั้งนี้ จึงได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลทุกแห่ง จับตาเป็นพิเศษ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2552 เป็นช่วง 90 วันอันตราย ให้แพทย์ตรวจคัดกรองผู้ป่วยโดยละเอียด และโรคที่ต้องติดตามต่อเนื่อง 2 โรค คือ โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ซึ่งเป็นโรคระบาดใหม่ที่ขณะนี้พบการระบาดในประเทศ และโรคไข้หวัดนกที่มีแหล่งแพร่ระบาดมาจากสัตว์ปีก

โดยเฉพาะโรคไข้หวัดนกไทยไม่พบติดเชื้อในคนมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปี แต่ประมาทไม่ได้ เพราะหากเกิดขึ้นในฤดูฝน เชื้ออาจผสมข้ามสายพันธุ์กับเชื้อไข้หวัดใหญ่ในคนที่อยู่ในช่วงระบาดในฤดูฝนได้

ด้านนายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรค ได้ออกประกาศเตือนประชาชนในการป้องกันโรคติดต่อที่มักเกิดขึ้นในฤดูฝน จัดส่งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกัน โดยมี 5 กลุ่ม รวม 15 โรค ได้แก่

- กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร ที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ตับอักเสบ

- กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง ที่พบบ่อยคือ โรคเลปโตสไปโรซิส หรือไข้ฉี่หนู

- กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อย ได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม

- กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ที่สำคัญ 3 โรค ได้แก่ ไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ 80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้าน ไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis) มียุงรำคาญ มักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนาเป็นตัวนำโรค และโรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่าเป็นพาหะนำโรค

- โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา ทั้งนี้ จากการเฝ้าระวัง 15 โรคดังกล่าว ตลอดเดือนพฤษภาคม 2552 พบผู้เสียชีวิตแล้ว 13 ราย โดยเสียชีวิตจากปอดบวม 8 ราย อุจจาระร่วงเฉียบพลัน 3 ราย และไข้เลือดออกและไข้สมองอักเสบ อย่างละ 1 ราย สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้

ขณะที่ นายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อาการนำของโรคติดเชื้อที่เป็นลักษณะเด่นหลักๆ คือ อาการไข้ ดังนั้นในช่วงนี้ หากมีไข้สูงและเช็ดตัวหรือกินยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้น หรือไข้ยังไม่ลดภายใน 3 วัน แนะนำว่าควรไปพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง เพื่อรับการตรวจรักษาที่ถูกกับโรค โดยเฉพาะถ้าเป็นกับเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวต่อว่า สำหรับยาลดไข้ที่ต้องระมัดระวังในการใช้ คือ ยาจำพวกแอสไพริน ห้ามกินอย่างเด็ดขาด เพราะมีอันตรายกับบางโรคที่สำคัญ 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไข้ฉี่หนู ซึ่งโรคดังกล่าวจะทำให้มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกายอยู่แล้ว หากได้รับยาแอสไพริน ซึ่งมีสารป้องกันเลือดแข็งตัวเข้าไปอีก จะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้นทำให้เสียชีวิตได้ง่ายขึ้น

ที่มา: http://www.thaihealth.or.th/node/9524

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า "ทะเลซากัสโซ" และ สาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า สาหร่ายซากัสซั่ม โดยสาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และเหตุ เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก ชาวฟีนีเชียนโบราณที่เคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้มา ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก
ท้องทะลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด - เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็นครั้งแรก กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว แต่แม้จะแล่นเรือต่อไปอีกนาน อาณา
เขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็หาหมดลงไปไม่ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ ภูเขาทะเล
ดย ภูเขาทะเลก็คือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธใดๆ นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือ เท่านั้น แต่กิตติศัพย์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้างก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์
เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนก็คือ เรือจะถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่ ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้ มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็น พวกฟินีเชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ ก็เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือ รอยแกะสลักบนแผ่นหินของพวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพของ พวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่า

เหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มีแรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วย
สาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ ซึ่งยึดเรือทั้งหลายให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์ ท้องทะเลบางแห่งก็ตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาด
มหึมาหลายสิบชนิด และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำ เข้ามาทำลายเรือทั้งลำให้กลายเป็นผุยผงไปในพริบตา

เรือกูดนิว ซึ่งเป็นเรือลากจูงเครื่องดีเซล ซึ่งได้ทำสงครามชักคะเยอ กับพลังลึกลับในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา และสามารถรอดพ้นอันตรายมาได้

ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม และอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเรา ในปัจจุบันเป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม เบอร์มิวดายังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า ก็หาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่

เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทางเป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบ และแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไปอย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าว-ทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุนปั่นไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้


เครื่องบินแบบเดียวกับเครื่องบินทั้ง 5 ลำ ของฝูงบินที่ 19 ที่หายสาบสูญไปทั้งฝูง พร้อมทั้งชีวิตนักบินและพลเรือนประจำ
เครื่องรวม 14 นาย ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1945


เครื่องบินแบบ kc 135 ของกองทัพอากาศสหรัฐได้หายไป 2 เครื่องในเวลาเดียวกันเมื่อเดิน สิงหาคม 1963

อุบัติการณ์ ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และ เครื่องบินเป็นจำนวนมาก ในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการสูญหาย หน่วยยามฝั่งที่เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความ ล้มเหลวที่จะพบพยานหลักฐานซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี ้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใดๆ แก่ประชาชน ที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้งๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยา-
ยามจะปกปิด เรื่อราวเหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคาย ต่างๆ และเชื่อว่า จะต้องมีแรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับ อย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็วๆนี้ได้มีข่าวรายงานว่ามีนักบิน และนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญ ในดินแดนของสาม -
เหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดีจวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใดที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับ และความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้

วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหลักการ

ในบางกรณี หากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการหาบสาบสูญของเรือเดินสมุทรและเครื่องบินในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จะพบว่าหาเป็นเรื่องประหลาดลึกลับแต่อย่างใดไม่เพราะเครื่องบินแต่ละลำ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่สุดคณานับของพื้นมหาสมุทรโลกแล้ว ก็เปรียบเสมือนฝุ่นละอองที่ล่องลอย อยู่ในห้องโถงใหญ่ น้ำในมหาสมุทรก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเคลื่อนไหว กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มีอัตราความเร็วกว่าสี่ไมล์ต่อชั่วโมง

ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัสมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่สิ่งหนึ่งที่นักประดาน้ำ มักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปล่องน้ำเงิน" จะปรากฏอยู่ตามหุบผาใต้น้ำและ -แหล่งหินประการัง มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เชื่อว่า เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วย -กระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี เคยมีนักประดาน้ำดำลงไป สำรวจปล่องต่างๆ นี้ พบว่าปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง ทำให้ปลาที่ว่ายวนอยู่ในนั้นเกิดสับสนถึงกับว่ายเอาครีบท้องขึ้นสู่เบื้องบน ยิ่งกว่านั้นยังพบว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงเข้าสู่ส่วนลึกคล้ายถูกดูดด้วยกำลังอันมหาศาลซึ่งเป็นอันตราย ต่อนักประดาน้ำมาก และลักษณะการณ์เช่นนี้ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว

อีกทฤษฏีหนึ่ง เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับลมพายุทอนาโดซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว จะกวาดเรือและเครื่องบิน ให้จมลงสู่ก้นมหาสมุทรได้ไม่ยาก พายุทอร์นาโดเป็นพายุหมุนปั่นเอาน้ำทะเลหมุนเป็นเกลียวสูงนับร้อยๆ ฟุตกลางอากาศและหากมันเกิดตอนกลางคืน เครื่องบินที่บินอยู่ระดับต่ำอาจถูกกระแทกตกลงสู่ทะเลได้ ก็เพราะนักบินไม่สามารถจะมองเห็นได้ในระยะไกล ส่วนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จมหายนั้น เชื่อว่าอาจจะเกิดจากกระแสคลื่นมหึมา ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลก็ได้ เพราะคลื่นที่เกิดจากปรากฏการณ์เช่นนี้จะมีความสูงร่วมร้อยฟุตเลยที่เดียว

ปรากฏารณ์อย่างหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินได้ คือ กรผันแปรของอากาศอย่างทันทีทันใด ที่เรียกกันว่า "แค๊ท (Cat - clear air turbulenec)" โดยทั่วไปแล้ว "แค๊ท" จะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะคาดคะเน หรือทำการพยากรณ์ได้เช่นเดียวกับลักษณะภูมิอากาศ โดยทั่วไปมันจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสภาวะอากาศ สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ยังไม่ทราบกันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าหากมันเกิดขึ้นขณะที่กระแสลมพัดแรงและรวดเร็ว จะทำให้เกิดสูญญากาศบริเวณนั้นทันที ซึ่งหากเครื่องบินได้บินเข้าสู่บริเวณของมันก็อาจจะตกดิ่งสู่ทะเลได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดี การผันแปรวิปริตของบรรยากาศทันทีทันใดในลักษณะเช่นนี้นั้น จะต้องไม่ใช่สาเหตุการหายสาบสูญ ของเครื่องบินทุกลำใน-บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นแน่ เพราะปรากฏการณ์ "แค๊ท" จะไม่เป็นผลต่อการทำงานของเครื่องวัดต่างๆ และระบบการติดต่อทางวิทยุบนเครื่องบน แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุ จะปรากฏว่าการติดต่อทางวิทยุได้เงียบหายไปการแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกได้เช่นเดียวกัน เพราะมันจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง ในกรณีเช่นนี้นักบินไม่มีความสามารถพอก็อาจจะนำเครื่องบินดิ่งลงสู่มหาสมุทรได้ ยิ่งกว่านั้นปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกมากมายที่เราไม่อาจจะอธิบาย-หรือทราบสาเหตุของมันได้

ที่มา: http://school.obec.go.th/nkwy/tiplearn/old/pages/burmudur.htm

ยาสีฟันช่วยรักษาสิวได้จริงหรือ

คิดว่ามีหลายคนเคยใช้เหมือนกันนะที่เวลาเป็นสิวอักเสบแดงๆขึ้นมาแล้วก็หยิบเอายาสีฟันมาแต้ม บางคนใช้ก็ได้ผลบางคนใช้แล้วก็ไม่เห็นยุบแสบเหมือนกัน บทความนี้ก็จะลองมาตีแผ่ว่าในยาสีฟันส่วนใหญ่มีส่วนผสมอะไรบ้าง ตัวไหนที่ทำให้สิวยุบและทำไมถึงยุบ ใครที่ชอบใช้ตัวนี้และเห็นว่าใช้แล้วได้ผลจะได้เลือกถูกว่าต้องเลือกซื้อแบบไหน

ยาสีฟันช่วยรักษาสิวได้จริงหรือ

วิธีการรักษาสิวที่ทำเองนั้นมีหลายวิธี บางวิธีก็แปลกแต่ได้ผล เคยมีหลายคนพูดถึงยาสีฟัน ว่าช่วยรักษาสิวได้ แล้วยาสีฟันจะสามารถช่วยรักษาสิวได้จริงหรือ??? ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ก็ต้องมาดูกันก่อนว่า ส่วนผสมต่าง ๆ ที่มีอยู่ในยาสีฟันมีผลอย่างไรกับผิวบ้าง

ฟลูออไรด์

จะพบว่าเป็นส่วนผสมที่มีอยู่ในยาสีฟันแทบทุกยี่ห้อ ฟลูออไรด์จะช่วยป้องกันฟันผุ แต่ผลที่ได้กับผิวคืออาจทำให้เกิดการระคายเคืองกับผิว การศึกษาทางการแพทย์ได้มีรายงานว่าการรับฟลูออไรด์ในปริมาณมาก ๆ จะก่อให้เกิดพิษได้ แม้ว่าฟลูออไรด์ที่ผสมในยาสีฟันจะมีปริมาณน้อยเพียงแค่ไม่ถึง 1% แต่ก็ไม่ควรเสี่ยงกับผลที่ได้ หากว่ายาสีฟันสามารถช่วยรักษาสิวได้ ก็ไม่น่าจะเป็นเพราะฟลูออไรด์ที่ผสมอยู่ในยาสีฟัน เพราะสารตัวนี้สามารถทำให้ผิวระคายเคืองหรือผิวไหม้ และบางครั้งอาจทำให้เกิดผิวแพ้ได้

กลีเซอริน, ซอร์บิทอล และอลูมินา

เมื่อพิจารณาถึงส่วนผสมของยาสีฟัน ก็จะเห็นได้ว่ามีส่วนผสมที่ช่วยกำจัดสิวได้เช่น Silica, Sorbitol, Alumina และ Glycerine - - Silica และ Alumina นั้นใช้เป็นตัวรักษาสิวโดยอยู่ในผลิตภัณฑ์ Dermabrasive (การกรอผิว) อย่างไรก็ดี, ในยาสีฟันมีส่วนผสมที่ดีที่ผลัดเซลล์ผิวได้ - - Sorbitol เป็นสารที่ให้รสชาติ ในขณะที่ Glycerine มีหน้าที่ทำให้ยาสีฟันนุ่มละมุนเมื่ออยู่ในปาก - - Sodium Lauryl Sulfate มีหน้าที่ทำให้ยาสีฟันมีฟอง ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับสิว

กำจัดแคลเซี่ยม ก็ช่วยกำจัดสิว

Sodium pyrophosphate หรือเคมีอื่น ๆ ที่คล้ายกันในยาสีฟัน จะช่วยควบคุมหินปูนที่เกาะอยู่ตามฟันโดยการกำจัดแคลเซียมและแมกนีเซียมจากน้ำลาย การกำจัดแคลเซียมโดยฟอสเฟตนั้นก็พบว่าช่วยรักษาสิวได้ - - ระดับแคลเซียมของผิวนั้นได้รับผลโดยตรงจากการเจริญเติบโตของเซลล์ผิว สอดคล้องกับการวิจัยของ Chia-Ling L.Tu และทีมงาน ว่าระดับแคลเซียมที่มากเกินไปบนผิวชั้นนอกสุด เป็นเหตุให้รูขุมขนมากขึ้น จึงทำให้เป็นสิวมากขึ้น ดังนั้นการกำจัดแคลเซี่ยมในคนที่เป็นสิวง่าย อาจช่วยกำจัดสิวออกไป จึงได้จัดให้ pyrophosphate เป็นตัวหนึ่งที่สามารถควบคุมสิวได้ เพราะฉะนั้นใครที่อยากใช้ยาสีฟันมาแต้มสิวก็ให้ลองดูที่มีส่วนผสมตัวนี้นะครับ

เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้ จะช่วยรักษาสิว

ส่วนผสมในยาสีฟันนั้นมีปริมาณของ Titanium dioxide น้อย และ Baking Soda (Sodium Bicarbonate) ในแง่ของผิวพรรณ ส่วนผสม 2 ตัวนี้สามารถผลัดเซลล์ผิวได้ดีมาก แต่ในรูปของยาสีฟัน 2 ตัวนี้มีปริมาณน้อยเกินไปที่จะส่งผลดีในแง่รักษาสิว

เนื่องจากเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพ Titanium dioxide และ Baking Soda นั้นถือเป็นตัวขัด/ผลัดเซลล์ผิวที่ดีมาก ถ้าต้องการใช้ก็อาจหาผลิตภัณฑ์อื่นที่มีส่วนผสมดังกล่าวอยู่ด้วย จริง ๆ แล้วการใช้ยาสีฟันรักษาสิวนั้น ยังไม่มีการวิจัยใด ๆ ดังนั้นหากนำมาใช้เพื่อจุดประสงค์นี้ก็อาจพบปัญหาอื่น แม้ว่าในยาสีฟันจะมีส่วนผสมที่สามารถควบคุมสิวได้เช่น pyrophosphates ซึ่งช่วยทำให้เซลล์ผิวดีขึ้นและตัวผลัดเซลล์ผิวเช่น Titanium dioxide และ Baking Soda

ปัญหาก็คือ ยาสีฟันมีไว้เพื่อรักษาและป้องกันฟันผุ ไม่ใช่รักษาสิว ดังนั้นจึงไม่ได้รับประโยชน์ในการรักษาสิวเต็มที่จากยาสีฟันเพราะว่าส่วนผสมต่าง ๆ ไม่เข้มข้นพอ - - การรักษาสิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมในการรักษาโดยตรงจะดีกว่า ไม่ว่าจะซื้อจากร้านขายยาหรือหาของใช้ที่มีอยู่ที่บ้าน

ที่มา: http://www.acnethai.com/

ขำ ขำ แต่อย่าทำ


ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/28053.html

น้ำร้อนลวกช้อนอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค

เคยเห็นหม้อลวกช้อนที่ใช้สำหรับลวกช้อนตามฟู้ดเซ็นเตอร์ต่าง ๆ บ้างรึเปล่า

จริง ๆ แล้ววิธีนี้เป็นมาตรการที่เอาไว้ใช้กำจัดเชื้อโรคที่ตกค้างในช้อน เพื่อความถูกสุขลักษณะในการทานอาหาร แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจไปค่ะ เพราะถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนน้ำในหม้อลวกทุกชั่วโมง น้ำในหม้อก็จะกลายเป็นแหล่งรวมสารพัดเชื้อโรคดี ๆ นี่เอง อีกอย่างถ้าน้ำในหม้อไม่เดือด เชื้อโรคก็ไม่มีทางตายไปได้หรอก

ดังนั้น ทุกครั้งก่อนที่จะนำช้อนไปลวก ก็ควรสังเกตดูน้ำในหม้อว่าเดือดหรือไม่ แล้วก็จะควรจะแช่ช้อนไว้สักพักหนึ่งพอสมควร ที่สำคัญหากมีป้ายบอกว่าเปลี่ยนน้ำทุก ๆ กี่ชั่วโมงก็จะเป็นการดีมากขึ้นทีเดียว

เชื้อโรคมีอยู่รอบตัวเรา ทางที่ดีก็อย่าลืมใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆ บ้าง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของตัวคุณเอง

ที่มา: http://variety.teenee.com/foodforbrain/27448.html

ทำใมคนเราถึงสะอึก

การสะอึกเป็นสภาวะที่ร่างกายทำงานผิดปกติต่างหาก เนื่องจากกะบังลมซึ่งเป็นแผ่นกล้ามเนื้อและเนื้อพังผืดกั้นระหว่างช่องท้องกับช่องอกยืด-หดตัวไม่สม่ำเสมอ

นอกจากนี้ สาเหตุของการสะอึก อาจเกิดได้จาก มีสิ่งแปลกปลอมไปรบกวนเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกะบังลม, ลมในกระเพาะอาหารขยายตัวไปดันกะบังลม, กลืนอาหารหรือน้ำจำนวนมากจนไหลลงกระเพาะไม่ทัน ทำให้หลอดอาหารตอนปลายขยายตัวไปกระตุ้นปลายประสาทที่มาเลี้ยงกระบังลม หรืออวัยวะใกล้กะบังลมเป็นโรคบางอย่าง เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ เป็นต้น

ส่งผลให้กะบังลมหดตัวอย่างรุนแรงทันทีทันใด
การบีบรัดตัวของกระบังลมทำให้แผ่นเหนือกล่องเสียงที่คอหอยซึ่งปรกติคอยกั้นไม่ให้อาหารเข้าไปในหลอดลมปิดลง เมื่อกระบังลมหดอย่างแรงก็จะดึงอากาศเข้าสู่ปอดผ่านคอหอย อากาศจึงกระทบกับแผ่นปิด แล้วทำให้สายเสียง (เส้นเอ็น 2 เส้น) สั่นสะเทือน จึงเกิดเสียงอึ๊กๆ อย่างที่ได้ยินเวลาสะอึก ซึ่งอาการสะอึกอาจเกิดขึ้นได้นาทีละหลายครั้ง และสะอึกต่อเนื่องกันได้หลายชั่งโมง จนคนสะอึกเหนื่อย

แต่ใช่ว่าไม่มีวิธีแก้ ซึ่งก็มีหลายวิธี เช่น หายใจลึกๆ กลั้นหายใจ หายใจในถุงกระดาษสัก 3-5 นาที ดื่มน้ำแก้วโตพร้อมกับกลั้นหายใจ หาสิ่งใดแยงจมูกให้จาม ถ้าเป็นเด็กอ่อนควรอุ้มพาดบ่าแล้วใช้มือลูบหลังเบาๆ ให้เรอ

ที่มา: http://variety.teenee.com/foodforbrain/27921.html

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความรักของเพื่อนผู้เสียสละ



ความรักของเพื่อนผู้เสียสละ
โรงเรียนแห่งหนึ่ง..
มีเพื่อนต่างเพศอยู่คู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่รักกันมาก

ฝ่ายชายจะเดินไปส่งฝ่ายหญิงที่บ้านเสมอทุกวัน

เวลาผ่านไป จนทั้ง สองอยู่ มหาวิทยาลัย

ฝ่ายหญิงเริ่มไปแอบชอบ ผู้ชายคนนึง และได้ถามเพื่อนชายว่า

"
นี่ เธอ ว่า เค้าเหมาะกับเราไหม
"
"
เค้าก้อ หล่อดีนะ นิสัยก็ดีด้วย

"
เหรอ! อืม อยากให้เค้ามานั่งอยู่ข้างๆ เราจังเลยเนอะ
"
ต่อมาไม่นาน หญิงสาวก็ได้เป็นแฟน กับผู้ชายคนนั้นจริงๆ

วันนึงหญิงสาวบอกกับ เพื่อนชายของตนว่า

"
นี่ เธอ ไม่ต้องมาส่งเราทุกวันแล้วแหละ ตอนนี้เค้าจะมาส่งเราแล้ว

เราไม่อยากให้ เค้าเข้าใจ ผิดน่ะ
"
"
อืม" ฝ่าย ชายตอบรับ และเขาก็ไม่ได้ไปส่งหญิงสาวอีก

ต่อมาหญิงสาวเกิดทะเลาะกับแฟน ของตน

จึงมาปรึกษาเพื่อนชาย ว่า

"
เธอ! เด๋ว นี้เขาไม่ค่อยสนใจเราเลยแหละ

เธอว่า... เราจะทำอย่างไร ดีหล่ะ
!"
"
ก้อ เธอ ยังรักเค้าอยู่หรือป่าวหล่ะ" ฝ่ายชายถาม

"
ก้อรักสิ และก้อรักมากด้วย
"
"
ถ้าอย่างนั้น ก็มอบความรักให้เขาต่อไปสิ ก้อเธอรักเค้านี่หน่า
"
"
อืม " หญิงสาวทำตามคำแนะนำของเพื่อนชาย

หลังจากนั้น ... วันหนึ่ง

ระหว่างที่เพื่อนชายหนุ่ม เดินกลับบ้าน เค้าเห็นหญิงสาว

นั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง

"
เธอ เป็น อะไรหน่ะ ทำไมถึงร้องไห้ มีอะไรให้เราช่วยไหม
"
"
เค้าไม่ รักเราเลยหล่ะ เขาเปลี่ยนไป

เด๋วนี้เขาไม่เคยมาส่งเรา ที่บ้านเลย
"
"
แล้วเราจะ ช่วยอะไรเธอได้บ้างหล่ะ
"
"
ช่วยอยู่ กับเราซักพักได้ไหม?" หญิงสาวร้องขอ

ก้อได้ซิ! ทำไมจะไม่ได้หล่ะ

ทั้งสองได้นั่งอยู่ด้วยกัน โดยไม่พูดจาอะไรกันเลย

ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ย ขึ้นมาว่า

"
เราควรจะ ทำอย่างไรดี เธอจะช่วยบอกเราได้ไหม

ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี
"
"
เธอยังรัก...เขาอยู่หรือป่าวหล่ะ
"
"
รักสิ เรา รักเค้ามากเลย
"
"
แต่เค้า ไม่รักเราเลยนี่หน่า" หญิงสาวร้องไห้โฮ

"
แต่เธอก็รักเขาไม่ใช่เหรอ
"
และชายหนุ่มก็ไปส่งหญิงสาว ที่บ้านอย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน

"
ถ้า เมื่อไหร่...ก็ตาม

ที่เธออยากให้เรามาส่งเธอที่บ้าน อย่าลืมเรียกเรา นะ
"
"
อืม" และ หญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป

ต่อมาวันหนึ่งชายหนุ่มได้ รับโทรศัพท์จากหญิงสาว

"
เราไม่ไหวแล้ว ช่วยมารับเราที
"
เสียงของหญิงสาวดูช่าง อ่อนล้า และหมดกำลัง

เธอกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอยู่

ชายหนุ่มได้ไปหาเธอและพาเธอมาส่งบ้าน

เธอยังคงถามชายหนุ่มนั้น เหมือนที่เคยถามมา
...
"
เราจะทำอย่างไรต่อไปดี
"
เราไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว..ดูยังไง เขาก็เหมือนไม่ได้รักเราเลย

"
แล้วเธอเลิก รักเค้าแล้วเหรอ
"
"
ป่าว! เรา ยังรักเค้ามาก เรายังรักเขาอยู่เหมือนเดิม

"
งั้นก็ เหมือนที่เราเคยพูดไว้

จงรักเขาต่อไป...แม้มันจะเจ็บบ้างก็ตาม

เพราะมันไม่สำคัญหรอกว่า เขาจะรักเธอไหม..? แต่ถ้าเธอยังรักเขา

เธอก็คงทำได้แค่เพียงรักเขา...และจงรักเขาให้มากกว่าเดิม

เพื่อแสดงให้เขารู้ว่าเธอรักเขามาก และก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

มีแต่เพิ่มมากขึ้น
"
อือ ...แล้วหญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป

และในที่สุดวันที่เธอเรียนจบก็มาถึง
เพื่อนชายหนุ่มของเธอมาแสดงความยินดีกับเธอ

เธอรู้สึกแปลกใจมาก ที่เพื่อนชายหนุ่มของเธอ ยังเรียนไม่จบ

เธอถามเขาว่า ทำไม
..?
ชายหนุ่มตอบว่า เขาขี้ เกียจไปหน่อย

ทำให้เขาต้องเรียนซ้ำวิชา หนึ่งจึงยังเรียนไม่จบ

หญิง สาวแปลกใจ เพราะตลอดมา ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนขยัน

แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ
..
และต่อมาไม่นานแฟนของหญิงสาว ก็ได้มาขอเธอแต่งงาน

เนื่องด้วยเห็นถึงความรัก ที่หญิงสาวมีให้

หญิงสาวจึงได้ไปชวนเพื่อนชาย เพื่อให้มางานแต่งของเธอ

"
เราไม่ว่างจริงๆ เราติดธุระน่ะ
!
ขอโทษด้วยนะ"

เพื่อนชายตอบเธอด้วยน้ำ
เสียงแผ่วเบา
หญิงสาวโกรธและเสียใจที่ เพื่อนชายไม่ยอมมางานแต่ง จึงวางหูกระแทกไป

แต่หญิงสาวก็ต้องประหลาดใจ เมื่อวันที่เธอแต่งงาน

ชายหนุ่มได้มาปรากฎตัวก่อนที่งาน แต่งจะจบลง

"
ยินดีด้วย นะ เรามาแล้วหล่ะ
"
หญิงสาวดีใจมากที่เห็นเพื่อนชาย ของเธอมา

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

เธอรู้สึกมีความสุขมาก ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมาไม่ได้

และเพื่อนชายก็พูดว่า เธอมีอะไรให้เราช่วยไหม
..?
ยิ่งทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม
..
...........................
ต่อมาหญิงสาวก็มีความสุข กับชีวิตแต่งงานของเธอ

จนไม่มีเวลาได้ติดต่อกับเพื่อนชายอีกเลย

จนวันหนึ่งหญิงสาวได้ ทะเลาะกับสามีของตน

หญิงสาวไม่รู้จะไปปรึกษาใคร จึงนึกถึงเพื่อนชายขึ้นมา

แม้ว่าหญิงสาวจะโทรไปหาเท่าไหร่
?
ก็ไม่สามารถติดต่อกับชายหนุ่มคนนั้นได้เลย

เขาจึงโทรไปหาเพื่อนของชายหนุ่มคนนั้น

เพื่อนของชายหนุ่มเล่า ว่า ชายหนุ่มเป็นโรคร้าย เขาไม่สามารถไปไหนได้

ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล... มาร่วมหลายเดือนแล้ว

หญิงสาวตกใจมาก ถามว่า...เขาเป็นอะไร
?
เพื่อนชายหนุ่มบอกว่า อาการเขากำเริบ เพราะวันที่ชายหนุ่มต้องมาผ่าตัด

ชายหนุ่มดัน ...หายตัว ไปเฉย โดยไม่มีใครรู้

และเพื่อนของชายหนุ่ม ก็ยังบอกอีก ว่า ..."มันเป็นนิสัยเสียของมันหน่ะ

มันชอบหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ ในช่วงเวลาสำคัญๆ

คราวที่แล้วตอนสอบไล่ มันก็หายตัวไปจากห้องสอบเฉยเลย
"
ไม่รู้มันหายไปไหน...ถามใคร ก็ไม่มีใครรู้

หญิงสาวตกใจมาก เลยขอที่อยู่ของโรงพยาบาลที่ชายหนุ่มรักษาตัว

หญิงสาวไปเยี่ยมชายหนุ่ม ที่โรงพยาบาล เมื่อเปิดประตูเข้าไป

ก็ต้อง ตกใจ ! ชายหนุ่มที่เคยดูแข็งแรง กับผอมซูบ ไม่มี แรง

เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอก็ดีใจ ทักทายเธอเป็นการใหญ่

"
เป็นอย่าง ไรมั่ง ไม่เจอกันตั้งนานเลยน่ะ
"
หญิงสาวนิ่งเงียบซักพัก น้ำตาหญิงสาวก็ไหลออกมา

"
อ้าวร้อง ไห้ทำไมหล่ะ เธอหน่ะ ไปทะเลาะกับแฟนมาอีกแล้วเหรอ

จะให้เราช่วยอะไรไหม
...?
แต่เราก็คงจะแนะนำเธอ ได้เหมือนเดิมนะ
"
หญิงสาวเข้าไปหาชายหนุ่ม แล้วก็บอกกับชายหนุ่มว่า

วันที่เธอ มารับเราเป็นวันสอบไล่เธอใช่ไหม
..?"
ชายหนุ่มทำหน้าตกใจและไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น กลับนิ่งเงียบไป

หญิงสาวจึงพูด ต่อ
...
"
และวันที่ เธอต้องผ่าตัดใหญ่ เธอกลับมางานแต่งงานของเราใช่ไหม
..?"
ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไร อีกแล้ว กลับนิ่งเงียบกว่าเดิม

หญิงสาวเข้าไปกอดชายหนุ่ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น

"
ตลอดเวลา เรารักแต่คนอื่น

มองแต่คนอื่นเรากลับไม่รู้เลยว่าเธอรักเรามากแค่ ไหน

เรารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ ไม่ได้รักเธอมากกว่านี้
"
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแล้วก็บอก

กับหญิงสาวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า

"
เราบอกเธอ แล้วไง..ถ้าเรารักใครสักคน เราก็ต้องรักเขาให้มากๆ

และมากขึ้นกว่าเดิม

มันไม่สำคัญหรอก..ว่าเขาจะรักเราหรือไม่

มันสำคัญแค่เพียงว่า..เรายังรักเธออยู่หรือเปล่า

แค่เราสามารถช่วยเธอได้ นั่นมันก็เป็นความสุขของเราแล้ว

ต่อให้เราจะเจ็บสักแค่ไหน..เราก็ยังรักเธอต่อไป

และไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง
..
หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก นั่งร้องไห้โฮ...อยู่ที่ตักของชายหนุ่ม

ชายหนุ่มจึงพูด... ขึ้น ว่า
"
ถ้าเราหาย เมื่อไหร่... เราจะไปส่งเธอที่บ้านอีกนะ "
ปล.เขายอมทำทุกอย่างเพื่อเธอโดยไม่หวังสิ่งตอบเเทนเลย

เเม้ตัวเองจะเป้นยังงัยก็ตาม
อย่าลืมเพื่อนของคุณนะ บะบาย

ที่มา: http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=35&post_id=34086